สวัสดีครับ ศูนย์ออนไลน์หมอเส็ง บริษัท หมอเส็ง ไทยแลนด์ ยินดีต้อนรับครับ เราคือศูนย์ออนไลน์ที่ได้รับอนุญาติจากบริษัท หมอเส็ง
ไทยแลนด์ จำกัด เรามีผลิตภัณฑ์หมอเส็งทุกสูตรไว้บริการ ...
เทคนิคการตอบข้อโต้แย้ง
การตอบข้อโต้แย้ง
ส่วนใหญ่แล้ว เรามักพบว่า มีอยู่ด้วย 3 ส่วน คือ ข้อสงสัย ข้อโต้แย้ง และข้ออ้าง หรือข้อบ่ายเบี่ยง ในหลายๆครั้ง เรามักเจอคำถามเป็นชุดๆ |
ราวกับพายุโหมกระนํ่าเลยทีเดียว ไม่ชอบขาย ไม่มีเวลา ไม่ถนัด ของแพง ไม่รู้จักใคร บ้านอยู่ไกล ขี้เกียจประชุม เจอมาเยอะลูกโซ่ เคยทำ |
มาแล้วไม่สำเร็จ เข็ดแล้ว ไม่เอาแล้ว ฯลฯ |
ก่อนอื่น...ขอให้เราตั้งสติ และขอให้อภัยทุกความคิดเห็นน่ะครับ ถ้าเขาเข้าใจ เหมือนที่เราเข้าใจ เขาคงสมัครทำไปนานแล้ว.. |
ข้อสงสัย เป็นเรื่องที่เขาอยากรู้ส่วนใหญ่จะออกมาในแนว แล้วมันเป็นอย่างไร เป็นงานขายใช่มั้ย?...เหมือนบริษัทนั้นบริษัทนี้ |
มั้ย?..มีรายได้เยอะขนาดนั้นจริงหรือ...เกษียณได้จริงหรือ...บริษัทมั่นคงจริงมั้ย?...โดยหลักแล้ว เราจะใช้ข้อเท็จจริงเพื่อเคลียความเข้าใจ |
ข้อโต้แย้ง ส่นใหญ่เกิดจากการที่เขารู้สึกไม่ค่อยดี เขาเหล่านั้น อาจเจอประสบการณ์ ที่ไม่ดีมาก่อนเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย อาจ |
จะเห็นญาติตัวเอง เพื่อนๆที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เมื่อเราไป Sponsor มักจะได้ยิน และอ้างว่า ไม่มีเวลา ไม่ถนัด ไม่ชอบ |
ธุรกิจลักษณะนี้เราจะใช้เทคนิค Feel Felt Found ทำให้ รู้สึกว่าเราก็เคยเป็นเหมือนที่เราคิด และเป็นอยู่ เช่นไม่มีเวลา เราก็จะบอกว่า เรา |
เข้าใจความรู้สึกของเธอดี เรารู้ว่าเธอเป็นคนขยันทำมาหากิน ก็ต้องไม่มีเวลาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เราก็ไม่ต่างจากเธอหรอกทำงานอย่าง |
เดียว รู้สึกมันยังเสี่ยงอยู่ รายได้ไม่พอ ก็ต้องทำอย่างอื่นเพื่อเพิ่มรายได้ แต่ลองคิดดูนะ ถ้าเรายังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไปจะเป็นอย่างไร เราต้อง |
ไม่มีเวลาไปจนกระทั่งเราอายุมาก ทำอะไรไม่ไหวแล้วหรือเปล่า แต่ถ้าวันนี้เราลองมาศึกษา Morseng แล้วลงมือทำสัก 3-6 เดือน มีรายได้ |
30,000-100,000 บาท/เดือน ทำให้เรามีเวลาเป็นของตัวเอง สามารถอยู่กับครอบครัว อยู่กับ คุณพ่อ คุณแม่ ถ้าเป็นแบบนี้จะดีมั้ย? หรือเขา |
อาจจะพูดว่า เขาไม่ถนัด ก็ตอบว่า เราเองก็เข้าใจเธอดี เมื่อก่อนเราก็ไม่ชอบเหมือนแถมยังแอนตี้เสียด้วยซํ้า แต่เมื่อเราเขามาทำในทีมงาน |
ของเรา จะมีระบบที่ดีมากมีการพัฒนาจากคนที่ไม่ถนัด ให้สามารถทำงานจนประสบความสำเร็จได้ ฯลฯ |
ข้ออ้าง ส่วนใหญ่ เป็นไปได้ในลักษณะ ไม่อยากทำธุรกิจ บางที่เราเองรู้สึกว่าเป็นคำถามออกจะเป็นแบบกวนนิดๆ อาทิเช่น คนที่ |
สำเร็จจะมีสักกี่คน น้อยมากคนที่ทำได้ เขาต้องมีเวลาว่าง เราไม่มีเวลา ลูกเรายังเล็ก อย่างเธอโชคดีที่ทำได้ เราอาจไม่โชคดีเหมือนเธอ |
ไม่มีพรสวรรค์ ฯลฯ ส่วนใหญ่จะไปวนอยู่ที่สุดท้าย คือ ไม่ชอบ ซึ่งฟังดู แล้วคนแบบนี้จะมีความรู้สึกไม่ดีกับธุรกิจแบบนี้ หรือรู้สึกคิดลบ |
เราจะไม่ค่อยเสียเวลาตอบ แต่เราพยายามขายภาพ หรือเปิดภาพธุรกิจใหญ่ หรือพูด Why Network ให้เขาเห็นภาพ ข้ออ้างต่างๆ ก็จะถูก |
แก้ไขไปได้ |
ไม่ว่าผู้มุ่งหวัง จะพูด หรือมีข้อโต้แย้งอย่างไร? ขอให้ฟังให้จบนะครับ นิ่งๆอยู่ในอาการที่สงบ สบตา ตั้งใจฟังข้อโต้แย้ง พยักหน้า |
แสดงท่าทีเห็นด้วยกับผู้มุ่งหวังไปก่อน ทั้งนี้เพื่อประเมินดูว่า เขาคิดอย่างไร และค้นหาสิ่งที่เขาเขาต้องการจริงๆ เกือบทุกครั้งเมื่อนเกิดการ |
Sponsor ขึ้น โดยส่วนมากแล้วผู้มุ่งหวังของเราเกิดมีข้อโต้แย่้งหรือข้อสงสัยขึ้นเสมอๆ ถ้า Case ไหนไม่มีเลยแสดงว่าแปลกมากให้คิดว่า |
เค้าน่าจะไม่สนใจที่เราพูดด้วยซํ้าไป อาจสมัครด้วยความเกรงใจหรืออยากช่วยเรา หรือไม่อยากสมัครก็คงบอกว่า ช่วงนี้ยังไม่ค่อยว่างด้วย |
ถ้าสนใจแล้วจะติดต่อไปอีกที ถ้าตอบแบบนี้แสดงว่าไม่สนใจ แต่บางคนอาจคิดว่า เค้าไม่ว่างจริงก็คงไปตอบเรื่องเวลา จริงแล้วการบอกว่า |
ไม่ว่างก็เป็นการปฏิเสธ แบบรักษานํ้าใจกันที่สุดแล้วสำหรับ คนทั่วๆไป จะให้บอกว่าไม่เอา มันไม่ดี มันไม่น่าสน เค้าคงไม่อยากพูดแบบนี้ |
กันหรอก เพราะฉนั้นแล้วเวลา Sponsor ใครก็ตาม สิ่งที่อยากให้เรารู้อย่างแรกคือ พยยามจับคาวมรู้สึกให้ได้ ว่าสิ่งที่เพื่อนเราพูดมา จริงๆ |
แล้ว มันคือข้อสงสัยที่ต้องการคำตอบ หรือข้ออ้างในการปฏิเสธว่าไม่อยากทำธุรกิจนี้ เพราะส่วนมาก ข้อสงสัยถ้าเกิดตอบได้ ก็จะมีหลายๆ |
คนที่สมัครทำธุรกิจ แต่ต่อให้เพื่อนๆตอบเก่งอย่างไร ถ้าไปตอบในสิ่งที่เป็นข้ออ้าง ถึงตอบไปเค้าก็ไม่สมัครอยู่ดี โดยสว่นมากแล้วพวกข้อ |
อ้างต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการที่เค้าไม่ว่าธุรกิจเครือข่ายสามารถให้อะไรกับพวกเขาบ้าง หรืออาจมีมุมมองที่ผิดๆ ที่เคยได้ยินมาจากคน |
อื่น แต่ถ้าเราสามารถให้คาวมเข้าใจที่มากพอกับเค้าได้ และเค้าถึงความคุ้มค่าของเครือข่ายแล้ว ปัญหาหรือข้ออ้าง(โต้แย้ง) ต่างๆนั้น เค้า |
จะเป็นคนจัดการด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูกโซ่ ไม่มีเวลา ไม่รู้จะไปชวนใคร ไม่ชอบงานแบบนี้ เป็นต้น ในส่วนเทคนิคการตอบ |
ข้อโต้แย้งนี้จะไม่ได้บอกตรงๆว่าถ้าเพื่อนๆหรือคนที่เราไป Sponsor นั้นมีข้อโต้แย้งแบบนี้ จะให้ตอบอย่างไร แต่คงอยากให้เป็นแบบมุม |
มองหรือแนวคิดเชิงเปรียบเทียบกับความเป็นจริงมากกว่า ว่าจริงๆแล้วเราเองควร คิดอย่างไรเวลาเจอข้อโต้แย้งต่างๆและถ้าเพื่อนๆได้อ่าน |
ทั้งหมดนี้แล้ว ก็สามารถมีมุมมองใหม่ และเข้าใจถึงสิ่งที่คนหลายๆคนนำมาอ้างเวลาไม่อยากทำธุรกิจ และเพื่อนๆก็สามารถให้มุมมองใหม่ๆ |
กับเค้าได้ แต่ก็จะมีบางข้อที่เป็นข้อกังวลที่เรา จำเป็นที่ต้องให้ข้อมมูลจริงๆ เช่น คำถามเกี่ยวเรื่อง แผน สินค้า หรือ บริษัท ซึ่งในส่วนนี้ |
เป็นข้อสงสัยจริงๆ ที่เราจำเป็นต้องสามารถให้ข้อมูลกับเขาให้ได้ เราก็สามารถนำข้อมูลต่อไปนี้ไปใช้ตอบได้ |
ก่อนอื่นเรามีเทคนิคหนึ่ง ที่จะช่วยให้เราสามารถ พอจะรู้ได้บ้างว่าผู้มุ่งหวังของเรา อาจมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับธุรกิจอย่างไรบ้างคือ |
การที่เราได้ถามออกไปว่า |
Q เคยมีใครมาชวนทำธุรกิจ เครือข่าย หรือเปล่า...? |
ถ้าเขาตอบว่าเคย...ให้ถามต่อเสลว่า... |
แล้วมีความคิด หรือรู้สึกกับธุรกิจแบบนี้อย่างไรบ้าง...? |
สิ่งที่เขาตอบมา ถ้าเป็นในเชิงลบ หรือข้อโต้แย้ง เช่น ไม่ชอบงานขาย ไม่ชอบงานแบบนีเลย ไม่มีเวลา พูดไม่เก่ง เป็นการกิน |
หัวคิว ไม่ชอบระบบแบบนี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ นั่นแหละคือการตอบข้อโต้แย้ง หรือข้ออ้างที่เค้ากะจะเามาตอบเราตอนสุดท้านในการ |
ปฏิเสธเราอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่อยากที่จะทำธุรกิจนี้ พอเรารู้ก่อนแล้วว่าเขาคิดอะไร หรือมีมุมมองไหน ที่ไม่ค่อยดีกับธุรกิจนี้ สิ่งที่เราควร |
ทำต่อ ก็คือการที่ต้องจำสิ่งที่เขาพูดมาว่าเค้าไม่ชอบ หรือคิดเรื่องอะไรบ้าง แล้วเก็บสิ่งนั้นไว้ก่่อน อย่าเพิ่งรีบตอบออกไปว่าเค้่ไม่อยาก |
ทำแล้วบอกเพียงว่า |
ไม่เป็นไร...สิ่งที่คุณรู้มาบาง เรื่องเราก็เคยคิดเหมือนกันแต่ไหนๆ วันนี้ก็มาเจอกันแล้วก็อยากลองเล่าเรื่องราวของธุรกิจนี้ |
ในมุมมองที่เรารู้มา แล้วถ้าฟังจบค่อยว่ากันอีกทีจะทำหรือไม่ทำ ไม่เป็นไร...ลองฟังดูก่อนน๊ะครับ/ค๊ะ |
แล้วค่อยๆ คุยเรื่องราวธุรกิจของเรา แล้วนำเอามุมมองที่จะได้อ่านต่อไปนี้ค่อยๆ สอดแทรกไปพรางๆขณะที่กำลังเล่า แผน หรือ ธุรกิจ |
จะเป็นการดีกว่าการตอบข้อโต้แย้งไปตรงๆ ที่เค้าถามมาเลย แล้วตอนสุดท้ายหลังจากที่เล่าทุกอย่างจบแล้ว ถ้าเค้าสนใจ แล้วถามอะไรออกมา |
นั่นแหละครับข้อโต้แย้งที่ต้องตอบจะโผล่มาตอนนี้แหละครับ แล้วเราถึงค่อยตอบไปตรงๆ โดยในที่นี้จะมีข้อโต้แย้งทั้งหมด 10 ข้อ และอยาก |
แยกประเภทของข้อโต้แย้งเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ |
1.ข้อโต้แย้งที่เกิดจากบุคคลที่ได้รับการ Sponsor ที่มักจะเป็นข้ออ้างเวลาที่ไม่อยากทำธุรกิจ หมายถึง ข้อโต้แย้งเหล่านี้ อาจต้องตอบ |
หรือไม่ต้องตอบก็ได้ขึ้นอยู่กับ สถานะการณ์ เพราะถ้าลองอ่านแต่ละข้อดูจะรู้ว่าข้อโต้แย้งประเภทนี้ส่วนมากเป็นข้ออ้างมากกว่า |
2.ข้อโต้แย้งที่เกิดจากข้อสงสัยเกี่ยกับธุรกิจ(บริษัท แผน สินค้า)ข้อโต้แย้งประเทภนี้จำเป็นที่เราจะต้องมีทั้งข้อมูล และความเข้าใจเพื่อ |
ไปตอบและอธิบายให้ผู้คนที่เราจะ Sponsor ฟังให้ได้ เพราะถ้าเราไม่สามารถตอบเขาได้อาจจะไม่สมัครก็ได้ |
ข้อโต้แย้ง...ที่เกิดจากตังบุคคลที่ได้รับ Sponsor ที่มักจะเป็นข้ออ้างเวลาที่ไม่อยากทำธุรกิจ |
1ไม่ว่างเลย...ไม่มีเวลา |
อย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วว่าการปฏิเสธแล้วอ้างว่าไม่อยากทำจริงๆสิ่งที่ตอบง่ายที่สุด คือตอบไปว่าช่วงนี้ ไม่ว่าง ไม่มีเวลา ติดงาน ติดเรียน |
หรือติดอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเวลา คือการ ปฏิเสธที่ง่ายที่สุด ลองคิดถึงตัวเราเองดูซิถ้าตอนนี้มีคนเราที่เกรงใจมาชวนเราไปทำอะไรที่เราไม่ |
อยากทำ เราจะปฏิเสธว่าอย่างไร เราคงตอบไปว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างครับ/ค๊ะ ใช่ไหม... |
เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินข้อโต้แย้งว่า ไม่ว่าง เราควรคิดดูว่า เรารู้จักคนที่เราคุยด้วยนี้มากน้อยขนาดไหน แล้วลองนึกดูว่าจริงๆแล้ว เขายุ่ง |
หรือไม่มีเวลาจริงหรือเปล่า |
ถ้าเขาเป็นคนที่ทำงานประจำ 8 โมง เลิก 5 โมงเย็น แล้วหยุดเสาร์ อาทิตย์ หรือหยุดวันอาทิตย์วันเดียว สิ่งที่คุณอาจถามเพิ่ม คือ แล้ว |
ปรกติหลังเลิกงาน หรือ เสาร์ อาทิตย์ มีทำ OT หรือมี Job พิเศษเพิ่มเติม หรือเรียนต่ออยู่เปล่า ถ้าคำตอบคือไม่มี คุณคิดว่าเขายุ่ง หรือไม่มี |
เวลาจริงหรือเปล่าล่ะ แสดงว่าแค่นี้คุณก็รู้ละว่าเค้าอ้างเพราะไม่อยากทำแล้ว แสดงว่าเรื่องเวลาคุณก็คงไม่ต้องตอบให้คนนี้ฟังเพราะลักษณะ |
นี้แหละที่เรียกว่าข้ออ้าง |
ถ้าเป็นนักศึกษา แล้วบอกว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลาเรียนหนัก ก็ให้ลองนึกดูว่าจริงๆแล้วตนนี้เป็นคนที่ จริงๆแล้วตั้งใจเรียนขนาดไหน หรือเรียน |
คณะอะไร กี่หน่วย แล้วลองนึกดู ว่าหนักขนาดไหน แต่ความจริง นักศึษา แทบทุกคนเรียนทุกคณะ คงไม่มีใคร ใช้เวลาเรียน หรืออ่านหนังสือ |
หรือทำรายงานตลอดเพราะ นักศึกษาทุกคณะ ก็ต้องมีช่วงเวลาอื่นๆ เช่น ชมรม ทำกิจกรรมต่างๆ หรือเวลาเที่ยวเล่นทั่วไป แม้แต่อยู่กับแฟน |
หรือเพื่อนเหล่านี้ เป็นเวลาที่นักศึกษา ทุกคนต้องทั้งสิ้น ขึ้นอยู่ว่าจะมากหรือน้อยแล้วแต่คน เพราะฉะนั้น การที่นักศึกษา บอกว่าไม่มีเวลาหรือ |
ติดเรียน แล้วจะไม่ทำเกือบ 100% คือข้อมอ้างไม่อยากทำทั้งสิ้นเพราะ จากประสบการณ์ที่เจอมา เคยเห็นนักศึกษา ที่อยู่คณะที่เรียนหนักๆ |
ยุ่งๆ ยังเข้ามาทำแล้วทำได้ แต่บางคนเรียนไม่หนัก แต่ก็ไม่ทำ หรือทำแต่ก็ไม่ได้อะไรมากแล้วก็บอกยุ่ง จริงๆแล้วคงขึ้นอยู่กับรายบุคคลมาก |
กว่า ดังนั้นเราควรพูดหรืออธิบายในส่วนของเหตุผลที่ทำไม นักศึกษา ถึงต้องทำธุรกิจเครือข่าย หรือพูดว่า งานที่ทำนี้ให้อะไรมากกว่า การมา |
นั่งตอบไม่มีเวลา |
แต่ถ้าเกิดต้องการให้เค้าเข้าใจเรื่องการใช้เวลา ในบางคนที่กังวลเรื่องเวลาจริงๆ เราอาจให้มุมมองเหล่านี้ ในเรื่องของเวลาได้เช่น |
1) งานๆ นี้คือการสร้างเครือข่าย สิ่งที่ต้องใช้ในการสร้างเครือข่าย มีด้วยกัน 4 อย่าง 1 การติดต่อสื่อสาร 2 เวลา 3 พลังงาน 4 ความรู้ |
ถ้าคุณไม่มีเวลาจริงๆ เราขอแค่ให้คุณใช้เวลา 2-3 นาที กับการติดต่อใครบางคน แล้วผมจะเป็นคนใช้พลังงานความรู้และเวลาของผมช่วย |
คุณเอง ก็เป็นมุมมองอธิบายได้ว่า งานนี้ถ้าเค้าอยากทำจริงๆแต่ไม่มีเวลา ให้เค้านัดเพื่อนของเค้าและเราจะไปช่วยคุณเอง |
2)วันนี้คุณอาจใช้เวลาในการทำงานซัก วันละ 2-3 ชม. ของคุณคนเดียว ถ้าคุณสามารถแนะนำเพื่อนได้ซัก 2-3 คน ใช้เวลาวันละ 2-3 ชม. |
แบบคุณเท่ากับว่าตอนนี้ใน 1 วัน ธุรกิจของคุณมีการทำงานเกิดขึ้นถึงวันละ 4-12 ชม.รวมคุณเองได้แล้ว ถ้าเกิดคุณมีเครือข่ายที่ทำงาน 100 |
คน แต่ละวันคุณจะได้เวลาในการทำงานขนาดไหน อาจลองยกตัวอย่างของตัวบุคคลที่มีเครือข่ายหลายๆคน เช่น คุณธนน ,คณมาโนช, |
คุณวรเดช,คุณมนตรี,คุณสุภาวดี ฯลฯ (อาจมีรูปประกอบให้ดู) แล้วเล่าว่าเค้าก็มีเวลาในแต่ละวัน 24 ชม.เท่าเรา..แหละเราก็เชื่อว่าเค้าคงไม่ได้ |
ใช้เวลาทำธุรกิจทั้ง 24 ชม. แต่ปัจจุบันเขาก็เครือข่ายเป็นแสนคน เอาแค่มีซัก 2,000 คนที่ทำก็พอ และทำแค่วัน 1 ชม.เท่ากับว่า 1 วัน เค้า |
ได้เวลาทำงาน 2,000 ชม.แล้ว ซึ่งหากเราทำงานทั่วไปคนเดียว กว่าจะใช้เวลาทำงานให้ได้ 2,000 ชม. คงใช้เวลาเป็นปีถึงจะเท่ากับเขาทำงาน |
1 วัน ซึ่งวันนี้ถึงแม้บางวันเค้าไม่ทำอะไรธุรกิจเขาก็ยังมีงานเกิดขึ้น และเกิดรายได้ขึ้นตลอด (แต่ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่าคนที่ทำเค้าก็มีรายได้ |
ของเขาไม่มีใครทำงานให้ใคร ถ้าไม่พูดเค้าอาจคิดในใจว่าชวนเขามาทำงานให้เราและบอกต่อด้วยว่าถึงมาทีหลังถ้าทำมากกว่าก็ได้มากกว่า) |
นี้แหละคือข้อดีของธุรกิจเครือข่าย เครือข่าย...เรียกว่า...เหนือยชั่วครู่...สบายชั่วโคตร |
3)อธิบายเปรียบเทียบไปตรงๆ เลยว่าจริงๆแล้ว คนเราจะมีเวลาทำหรือไม่ทำอะไรขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่จะทำ คุ้มหรือไม่คุ้ม เราอยากให้คุณลองฟังดูว่า |
ธุรกิจนี้มันดียังไงแล้วคุณค่อยดูว่ามันจะคุ้มกับเวลาที่คุณใช้ไปหรือเปล่า...ถ้ามันดีจริงผมเชื่อว่าคุณเองก็คงจัดเวลาได้ |
4)อธิบายเรื่องเวลาตามตำรา ในลักษณะนี้ก็ได้เรื่อง 8 8 8 บอกว่าคนเราปรกติมีเวลา วันละ 24 ชม. ทำงาน/เรียน 8 ชม. พักผ่อน 8 ชม.ใช้ทำ |
อะไร เราเคยอ่านหนังสือเจอ เค้าบอกว่า คนเราจะมีชีวิตที่ต่างกันขึ้นอยู่กับการใชเวลา 8 ชม.ที่เหลือนี่แหละบางคนใช้ เที่ยว เล่นไปวันๆ บางคน |
ใช้ศึกษา พัฒนาตัวเอง บางคนใช้ทำงานพิเศษหารายเป็นรายชั่วโมง บางคนใช้ทำธุรกิจเพิ่มเติม วันนี้เราอยากให้นายลองจัดเวลาที่เหลือ 8 ชม. |
แบ่งมาลองทำธุรกิจร่วมกันกับเรา เราว่ามันดีมากแล้วค่อยบอกว่าธุรกิจดีอย่างไร... |
ก็ลองหยิบยกมุมมอง เหล่านี้ไปลองใช้ คุยกับเพื่อนๆได้ ในคนที่ติดปัญหา หรือมีมุมองที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับ เรื่องเวลาในการทำธุรกิจ |
ปล.แต่ก็อาจมีบางคนติดเรื่องวเวลา จริงๆ เป็นช่วง เวลาระยะนึ่งเช่น ช่วงใกล้สอบ ติดงานโปรเจ็ก ใหญ่ ช่วงที่งานประจำกำลังยุ่ง ถ้าติดจริงก็ |
เลื่อนการคุยไปก่อน จะได้ไม่เสียโอกาสทั้ง 2 ฝ่าย แต่ก็ควรถามให้รู้หน่อยว่าแล้วเขาจะใช้เวลาช่วงนี้อีกนานขนาดไหน อาจ 1-2 สัปดาห์ |
(ช่วงสอบ) หรือ 1 เดือน(โปรเจ็ก) หรืองานใหญ่ต่างๆแล้วเราก็บอกได้ว่า หลังช่วงนี้เราค่อยนัดคุยรายละเอียดกันอีกครั้งนึ่ง แต่ถ้าเขาบอกว่า |
กว่าจะหายยุ่งก็ยังไม่มีเวลากำหนด หรือเกิน 2 เดือนขึ้นไป หรือเดี๋ยวว่างแล้วจะโทรติดต่อไปบอกเอง ก็ให้คิดเผื่อแล้วว่าคนๆนี้คงไม่สนใจแล้ว |
ก็คงบอกผลัดๆไปก่อน ก็อย่าไปเชื่อหรือรอคนๆนี้เลย ไปหาคนอื่นดีกว่า จำไว้เลยนะครับ ว่าถ้ามีการพูดว่า ถ้าสนใจแล้วจะติดต่อมาเอง ขอให้ |
แปลเองเลยว่าไม่สนใจครับ ผมทำมาแล้ว 8 ปี เจอคนพูดอย่างนี้มาเยอะมาก ยังไม่เห็นมีใครติดต่อกลับมาเองเลยสักคนครับ |
2 พูดไม่เก่ง ไม่ถนัด หรือพูดในลักษณะที่ว่า...ไม่มีความสามารถพอ...กลัวที่จะทำไม่ได้... |
เป็นอีกข้ออ้าง(โต้แย้ง) หนึ่งที่ใช้ง่ายๆ ในการปฏิเสธ คือการออกตัวก่อนเลย ประมาณว่า ไม่มีความสามารถพอที่จะทำงานนี้ เช่น พูดไม่เก่ง |
ไม่ถนัด อะไรทำนองนี้ ลองคิดในมุมมองนี้ดูก่อนครับว่า ปรกติเวลาเราจะไปสมัครที่เรา อยากทำเมื่อมีคนมาสัมภาสษณ์เราว่า ใช้ความสามารถ |
ใช้ COM ได้หรือเปล่า พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ขับรถได้ไหม อยู่ล่วงเวลาได้หรือเปล่า ไม่ว่าถามถึงเรื่องอะไรเราก็มักจะตอบว่าได้เสมอ ถึงแม้ |
ว่าบางอย่างจริงๆแล้วยังทำไม่ได้เลยเราก็ตอบว่าได้ๆ ไปก่อน แล้วก็คิดว่าจะไปฝึกฝนเรียนรู้กันอีกทีนึง จริงไหมครับเหตุผลที่เราตอบแบบนั้น |
เพราะเราอยากได้งานนั้น เราอยากที่จะทำงานนั้น แล้วเราก็รู้ว่าตัวเรา สามารถฝึกฝนเรียนรู้ได้ แต่แล้วพอมาเป็นธุรกิจเครือข่ายเวลาไปชวนเพื่อน |
การที่เขาตอบปฏิเสธว่าเขาไม่มีความสามารถ เป็นเพราะเขาไม่อยากจะทำธุรกิจนี้ จริงไหมครับ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราต้องทำก่อนตอบเรื่องนี้คือ |
ทำให้เขาเข้าใจว่าธุรกิจนี้ก็ดีกับเขาอย่างไร แล้วเมื่อเขาอยากทำ สิ่งเหล่านั้นจะหายไปเอง |
แต่ถ้าจะให้ตอบจริงๆ เราก็บอกเพื่อนๆไปว่า จริงๆแล้วธุรกิจนี้ เราไม่ต้องการคนพูดเก่งหรอก แต่เราต้องการคนที่สามารถเรียนรู้ธุรกิจ |
และ สามารถนำไปเล่าต่อให้เพื่อนๆฟังได้ ต่อให้เราจะเป็นคนพูดเก่งอย่างไร แต่ให้เราไปพูดในสิ่งที่เราไม่เคยได้ยิน ไม่มีความรู้เราก็คงไม่ |
สามารถพูดได้ ตัวอย่างเช่น มีชาวนาที่พูดไม่เก่ง และไม่ได้เรียนหนังสือคนนึ่ง แต่ถ้าให้เขามาพูดถึงเรื่อง เกี่ยวการปลูกข้าวคิดว่าเขาจะพูดหรือ |
อธิบายได้หรือเปล่า? ได้จริงไหมครับ แต่ถ้าให้วิศกร Computer ที่พูดเก่งมาพูดเรื่องการปลูกข้าว เค้าก็อาจพูดไม่ได้ถ้าเขาไม่เคยได้ศึกษาและ |
ปฏิบัติมาก่อนเพราะฉะนั้น ไม่เกี่ยวกับการพูดเก่ง หรือพูดไม่เก่ง ถนัด หรือไม่ถนัด เพราะคนที่เริ่มทำธุรกิจนี้ทุกๆคนก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้กันใหม่ |
หมดเหมือนกัน และในระบบธุรกิจเราก็จะมีการเรียนการสอน เหมือนกับเป็นอีกหนึ่งอาชีพนึง ที่คนที่จะเข้ามาจะทำให้สำเร็จก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้ |
ก่อน... |
สุดท้ายอาจมีการให้ดูภาพคนสำเร็จ และให้ดูถึงคนที่มีศักยภาพด้อยกว่าเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การศึกาษา ความรู้ ฐานะ หรือวัยต่างๆว่า |
ถ้าพวกเขาสามารถทำได้เราก็น่าที่จะทได้เหมือนกัน |
3 ไม่ชอบงานขาย ไม่ชอบง้อคน ไม่ชอบติดต่อผู้คน...หรือสรุปไม่ชอบงานแนวนี้... |
ข้อโต้แย้งนี้ถ้าให้เราวิเคราะห์จริงๆแล้ว คือดูเหมือนว่าจะไม่ชอบที่ลักษณะของการทำงาน แต่ถ้าให้ดูกันจริงๆแล้วคนที่พูดว่าเค้าไม่ชอบงานที่ทำ |
นี้ก็จริง แต่ความจริงเค้า ไม่ชอบงานตรงวิธีการได้รายได้มากกว่า หมายถึง ก่อนฟังเค้าพูดก็พอรู้แล้วว่า งานแบบนี้ มันมีการจ่ายรายได้แบบไหน |
แน่นอนครับคนส่วนมากรู้ว่างานแบบเครือข่ายหรือขายตรงนั้น การจ่ายรายได้ไม่ได้เป็นการจ่ายแบบ เงินเดือนประจำ คนส่วนมากมักคิดว่าตัวเอง |
ไม่ชอบ เลยทำไม่ได้ ก็เลยไม่อยากเสียเวลาทำ แล้วก็จะไม่ได้รายนั่นเอง ก็เลยปฏิเสธก่อนเลยแต่ถ้าอยากลองเปลี่ยนใหม่คุณลองบอกคนที่คุณ |
ชวนว่าเนื้องานทุกอย่างเหมือนเดิมหมด แต่งานนี้ Start 35,000 บาท ไม่รวมโบนัสที่พูดมาทุกข้อนะ และจะมีการอบรมให้ก่อน 2 เดือน ในช่วง |
อบรมนี้ จะมีเบี้ยเลี้ยงให้วันละ 1,500 บาทด้วย คุณว่าเพื่อนคุณจะทำไหมครับ ทำชัวร์ เพราะเขารู้ว่ายังไงก็ได้เงินแน่ๆ เมื่อครบเดือน เหมือนงาน |
ประจำทั่วๆไงครับ ถึงตรงนี้อยากให้แนวคิดว่า คนส่วนมากชอบความแน่นอน...ไม่ชอบความเสี่ยง คนส่วนมากเลยชอบลักษณะของการรับเงินใน |
รูปแบบของเงินเดือนที่จ่ายแน่นอน มากกว่าที่จะรับรายได้ที่ขึ้นตามผลงาน หรือความสามารถ/จากประสบการณ์ ผมเคยเห็นหลายคนมาก ที่ตอน |
แรกก่อนทำบอกไม่ชอบขาย ไม่รู้จะขายให้ใคร แต่พอได้ฟังธุรกิจ และได้ลองใช้สินค้าแล้วเห็นผล เค้าคนนั้นกลับมียอดขายที่มหาศาล และกลาย |
เป็นคนที่ชอบแนะนำสินค้ามากกว่าใครอื่นอีก เพียงเพราะเค้าได้เขาใจในเรื่องราวของธุรกิจและสินค้าเท่านั่นเอง โดยที่เราไม่ต้อง Clear เค้า |
เค้าเรื่องการขายหรือไม่ขายเลย |
อีกมุมมองนึง ลองสมมุติ งานๆนึงขึ้นมาเรื่อง บริษัท X บริษัท Y ที่ให้ทำงานเหมือนกัน บริษัท X ให้เงินวันละ 100,000 ทุกวัน ให้ทำ |
30 วัน รวมก็ได้ 3,000,000 บาท แต่ บริษัท y ให้เงินวันละ 1 บาท แต่วันต่อมาจะได้เป็น 2 เท่า ก็คือ 2 บาท ต่อมาเป็น 4 บาท ขึ้นมาเรื่อยๆ 30 |
วัน จะเลือกบริษัทไหน ถ้าถามแบบนี้ คนส่วนมากกว่า 90 % จะเลือกบริษัท X เพราะเขารู้แน่ๆว่า จะได้ 3,000,000 บาท ภายใน 30 วัน แต่ |
บริษัท y เค้าดูไม่ออกว่าเริ่มจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 8 16 32 แต่ 30 วัน จะได้แค่ไหนเชียว คงไม่เกิน 3 ล้าน แต่ความเป็นจริง เฉพาะวันที่ 30 ก็ได้ |
ประมาณ 500 ล้านกว่าบาทแล้ว ถ้ารวมกันทั้งหมด 30 วัน ก็จะได้ประมาณ 1,000 ล้าน(ไม่เชื่อลองคิดเองดู) มากกว่าบริษัท X ไม่รู้กี่เท่า ถ้าเป็น |
ในชีวิตจริงของเราเลือกบริษัท X แล้วมารู้ทีหลังว่าบริษัท y ทำครบ 30 วัน ได้ 1,000 ล้าน เราคงเสียได้ไปจนวันตาม จริงไหมครับ แต่วันนี้ความ |
จริงก็เป็นคล้ายๆอย่างนี้แหละครับ การรับรายได้แบบเงินเดือนมันดูแน่นอนกว่าก็จริง แต่ก็สุดท้ายมันก็ไม่เยอะเกินกว่า ที่เราคิดหรอกครับ เราเอง |
ยังไม้กล้าคิดเลยจริงไหมครับ ว่าเราต้องทำงานอีกกี่ปีถึงจะได้ราย 6 หลัก แต่พอเป็นงานแบบเครือข่าย คุณแค่ไม่มั่นใจตอนแรกเท่านั้นเองว่าคุณ |
จะไม่ได้รายจริง แต่พอคุณได้ทำซัก 3-5 เดือน คุณจะชอบการรับรายได้แบบนี้มากกว่า และเริ่มรู้สึกไม่อยากรับรายได้แบบตายตัวแบบเก่าแล้ว |
เพราะคุณจะเริ่มต้นพบว่า ตัวคุณเองมีความสามารถที่จะมีรายได้ตามความสารถที่คุณมี ไม่ใช่แบบเก่าขยันหรือเก่ง ก็รับ 15,000 บาท ขี้เกียจก็ |
รับ 15,000 บาท คนเลยเลือกขี้เกียจกันหมด เพราะรู้ว่าทำอย่างไรก็ได้เท่าเดิม และพอคุณได้ใช้เวลาทำธุรกิจซัก 1 ปี ทำรายได้ 6 หลัก และยัง |
มีคุณ.................. ที่ทำรายได้มากกว่า 1-3 ล้าน โดยใช้เวลาแค่ไม่เกิน 2 ปี |
ดังนั้นก่อนที่จะตอบข้อโต้แย้งนี้ อยากให้เรารู้ก่อนว่าคนสว่นมาก ที่มีข้อโต้แย้งนี้ จริงๆในใจเค้ามีมุมมองแนวคิดในลักษณะที่กล่าวมา |
บางคนอาจรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะฉะนั้นการทำให้เค้าสบายใจในเรื่องนี้ คือค่อยๆอธิบายถึงรูปแบบการรับรายได้นี้ดีอย่างไร อาจพูดถึงเรื่อง |
รับรายได้แบบนี้ว่าดีอย่างไร อาจพูดถึงรายได้ แบบ Active Income หรือ Passive Income ให้ฟังและพยายามให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจว่าเค้า |
ก็สามารถทำธุรกิจนี้ได้ โดยทำเหมือนเดิมคือ อาจให้ดูภาพคนสำเร็จและให้ดูถึงคนที่มีศักยภาพด้อยกว่าเค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การศึกาษา |
ความรู้ ฐานะ หรือวัยต่างๆ ว่าพวกเขาก็สามารถทำได้ เราก็น่าที่จะทำได้เหมือนกัน ก็จะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาได้ แต่ก็อาจมีบางกรณีบางคนที่มี |
ความไม่ชอบในลักษณะของการขาย การติดต่อกับผู้คน หรือเค้าคิดว่าถ้าเขาทำแล้งต้องง้อคนจริง นอกจากเปรียบเทียบแนวคิดข้างต้นแล้ว ก็ |
อาจตอบให้ตรงประเด็นได้ประมาณนี้ |
ในกรณี กลัวการขาย ให้เราเริ่มบอกเขาก่อนว่าจริงๆ เราเองก็ไม่ชอบขายและก็ขายไม่เก่ง แต่ที่เราทำธุรกิจนี้ เพราะจริงๆแล้ว การ |
ที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้เราไม่จำเป็นต้องขายสินค้า หรือแนะนำสินค้าให้ได้มากๆ เพียงแต่เราแค่เปลี่ยนยี่ห้อสินค้าที่ใช้และเปลี่ยนที่ซื้อ |
เท่านั้น เพราะธุรกิจ เราจำหน่ายสินค้าอุปโภค บริโภคซึ่งถึงแม้เราไม่ซื้อของ หมอเส็ง เราก็ต้องซื้อของยี่ห้ออื่นอยู่แล้ว เพียงแต่การซื้่อของยี่ห้อ |
อื่นเราไม่มีรายได้กลับคืนมา และถึงเราจะซื้อมากหรือบอกต่อให้คนอื่นรู้จักไปซื้อก็ไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา ในปัจจุบันการหารายได้เพิ่มเป็นเรื่อง |
สำคัญ การที่แค่ซื้อของมาดูแลสุขภาพ และสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นได้ เลยเป็นเรื่องที่สนใจ |
ในกรณี ไม่ชอบง้อคน เราบอกเลยว่าการทำธุรกิจอย่างนี้แล้วต้องง้อคนนั้นไม่เกี่ยวว่าต้องธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจอื่นก็เหมือนกัน แต่ |
ความจริงต้องง้อหรือไม่ง้อ น่าจะขึ้นอยู่กับที่ตัวบุคคลมากกว่า วันนี้เราก็ไม่ชอบที่ต้องง้อใคร เหมือนวันที่เรามาคุยให้คุณฟัง เพราะเราว่ามันน่าสน |
ใจมาก และอยากชวนจริงๆ ถ้าวันนี้ฟังแล้วคิดว่า Work ก็ทำด้วยกัน ถ้ายังได้ข้อมูลไม่พอ หรือไม่แน่ใจ เราอาจลองให้คุณไปดูที่ประชุมกับเราสัก |
ครั้งหนึ่ง ถ้าไม่ Work หรือไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่เป็นเราไม่ Serious เลย และเวลาคุณทำธุรกิจนี้ก็ไปบอกเพื่อนอย่างนี้เหมือนกัน คือน่าจะลองฟังดู |
ก่อน ถ้าไม่ชอบไม่เป้นไร (แต่ถ้า เค้าไม่สนใจจริงๆ หรือ Anti มากก็อย่าไปอะไรมากเลยครับ ครบเป็นเพื่อนต่อเหมือนเดิมดีกว่า ชวนคนอื่นต่อ |
ก็ได้) เพราะจริงๆในธุรกิจนี้เราต้องการคนเอาจริง และเห็นด้วยกับเราเริ่มต้นเพียงแค่ 2-6 คนเท่านั้น ขอเพียงแต่ให้เรามีความอดทน รอคอยคนที่ |
เห็นด้วยจริงๆกับเรา ใครไม่ทำก็ไม่เป็นไรครับครบหาสมาคมเป็นเพื่อนที่ดีเหมือนเดิมได้ แล้วเวลาเจอกันก็เน้นคุยเรื่องทั่วๆไป เป็นหลักอย่าเจอ |
ทุกครั้งเป็นต้องวกเข้าเรื่องธุรกิจเสมอ ไว้รอ 3-6 เดือนเราสำเร็จเพิ่มขึ้น ค่อยเอาความสำเร็จไปเล่าดีกว่า เค้าอาจจะสนใจก็ได้ เห็นเราทำแล้วประ |
สบความสำเร็จได้ เช่นกันแต่อาจมีบางคนบอกว่ารอให้เราทำสำเร็จก่อนแล้วค่อยมาชวน ก็แสดงว่าจริงๆเค้าอาจไม่อยากทำตั้งแต่แรก พอเรากะ |
ว่าสำเร็จแล้วจะไปชวนก็อาจมีบางคนทำบางคนก็ยังไม่ทำตรงนี้ก็อย่าไปอะไรมากเลยครับ หาคนอื่นดีกว่า |
4 ไม่ค่อยรู้จักใคร ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่รู้จะชวนใคร ไม่รู้จะขายให้ใคร |
สำหรับข้อนี้ก่อนอื่นต้องปรับปรุงมุมมองที่ตัวเราเองก่อนว่างานนี้ ที่เรากำลังจะไปชวนคนอื่นสำหรับเราเองแล้ว เราคิดว่าถ้าเราไปชวนเพื่อนๆ เรา |
แล้วจะเป็นการไปให้หรือไปเอา ไปรบกวนหรือช่วยเหลือ ลองนึกง่ายๆ ระหว่างจะเอาเงิน 10,000 ไปให้ใครดี กับไปยืมเงิน 10,000 กับใครดี |
ถ้าไปให้ มีไม่รู้กี่คนที่อยากให้ อยากช่วยจริงไหมครับ แต่ถ้าไปยืมเงิน กลัวไปหมด ตั้งแต่กลัวเค้าจะไม่ให้ เขาจะไม่ชอบเรา เขาจะคิดยังไงกับ |
เรา สารพัดไปหมด สรุปคือน่าจะนึกยากกว่าการจะไปให้แน่นอน ที่นี้พอเห็นภาพบ้างไหมครับว่า ทำไมบางคนถึงมีคนที่อยากไปเล่า ไปชวนให้ |
ฟังเยอะทำไมบางคนถึงไม่ค่อยกล้าชวนใครเท่าไหร่ เพราะอยู่ที่มุมมองครับ |
สำหรับตัวเราแล้ว เราลองนึกภาพดูว่าก่อนที่เราจะฟังธุรกิจ ก่อนที่จะรู้ว่าธุรกิจ แผน สินค้าดีอย่างไร เราอาจนึกถึงคนแค่ไม่กี่คน แต่พอได่้ |
รับฟังทุกๆอย่างแล้ว เมื่อเรารู้สึกว่ามันดีจริงๆ ทั้งโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ ในธุรกิจหรือถ้าเกิดได้รับฟังสินค้าแล้วรู้สึกว่ามันดีจริงๆ ทั้งในส่วน |
ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยิ่งถ้าเกิดได้ฟังหรือได้เห็นผลลัพธ์ จากการใช้ผลิตภัณฑ์ แล้วเราจะยิ่งนึกถึงคนที่เราตื่นเต้นมากๆ รายชื่อเพื่อนๆก็จะ |
โผล่เข้ามาในหัวของเรา สรุปว่าเราจะมีรายชื่อมากน้อยขนาดไหน ส่วนนึ่งก็ขึ้นอยู่กับ ความเชื่อและความตื่นเต้นของเราที่มีต่อธุรกิจด้วย |
ที่นี้พอมาในส่วนของ ผู้มุ่งหวังที่เราต้องตอบ การที่เขามีข้อโต้แย้งเรื่องนี้ก็มีเหตุผลจากมุมมองที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือ เค้ามีความคิดว่า |
การทำธุรกิจนี้คือการไปเอาอะไรจากเพื่อนมากกว่าการที่จะไปให้ เค้าเลยไม่ค่อยกล้าจะไปชวนใคร และยังไม่รู้ ว่าสินค้ามันดีอย่างไร ดังนั้นเมื่อ |
เค้าเองยังไม่รู้ว่าธุรกิจนี้ดีอย่างไร เค้าจึงยังไม่รู้ว่าจะไปบอกใครดี เค้าก็เลยบอกว่า ไม่รู้จะชวนใคร หรือขายให้ใคร เมื่อเราได้เล่าเรื่องธุรกิจนี้ให้ |
ทั้งเรื่อง โอกาสทางธุรกิจ สินค้า เมื่อเค้าจบแล้วตื่นเต้น เค้าก็สามารถที่จะนึกถึงใครบางคนได้ แต่เค้ายังนึกถึงใคร ไม่ค่อยออกจริงๆ ก็อาจแบ่ง |
ประเภทของคนที่ให้เค้านึกถึง เช่นคนที่อยากรวย อยากมีรายได้เพิ่ม คนที่มีปัญหาสุขภาพ คนที่อยากมีสุขภาพที่ดีขึ้น คนที่อยากมีรักษารูปร่าง |
หรือลดความอ้วน หรือสุดท้ายคนที่เรารู้สึกดีๆและอยากร่วมงานด้วย โดยส่วนตัวตอนที่ผมเริ่มทำธุรกิจใหม่ ผมรู้ว่าธุรกิจเครื่อข่ายเมื่อเราประสบ |
ความสำเร็จแล้ว จะมีการเชิญไปสัมมนาที่ต่างประเทศผมก็แค่นึกถึงเพื่อนที่ผมอยากให้เค้าไปเที่ยวกับเรา ก็ไปชวนคนเหล่านั้นมาทำธุรกิจกับเรา |
เพราะเราอยากให้เค้าได้ไปเที่ยวกับเราแค่นั้นเอง |
อีกกรณีหนึ่งก็คือ เค้าอาจมีเพื่อนน้อยจริงๆ และเค้าอาจคิดว่าจริงๆการที่จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ ต้องรู้จักคนมากๆถึงจะได้เปรียบ |
ดังนั้นเราต้องอธิบายให้เค้าได้รู้ว่าจริงๆแล้ว การประสบความสำเร็จในธุรกิจเครื่อข่ายคือการที่ต้องสร้างเครือข่ายจำนวนมากก็จริง แต่เครือข่าย |
เหล่านั้น อาจเกิดมาจากการที่เราชวนคนที่เรารู้จักกันจริงๆ แค่ไม่กี่คน อาจประมาณ 10- 20 คนที่เราชวนเอาจริงๆ และจากแผนที่ธุรกิจนี้เราก็ |
ต้องการคนที่ตั้งใจทำจริงกับเราในเบื้องต้นเพียง 2-6 คนแต่คนเหล่านี้ก็จะมีเพื่อนอีกคนละ 10-20 คน รวมๆกันก็เกิดเครือข่ายมหาศาลได้โดยมี |
Concept ที่ว่าเรา ต้องการให้มีเครือข่ายมากๆ ซื้อสินค้ากันคนละน้อยแต่ซื้อสินค้าคนละมากๆ |
เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว ผมคิดว่าถ้าใครที่รู้ว่า ธุรกิจนี้ดี แล้วอยากทำอยากใช้สินค้าก็จะนึกเพื่อนๆได้ทุกคนครับ ถ้าใครที่คุณอธิบายทั้งหมด |
นี้ให้เขาฟังแล้ว เค้ายังบอกไม่รู้จะชวนใครอีก ก็ปล่อยไปดีกว่าแสดงว่าเค้าคงไม่อยากทำจริงๆ ไปหาคนอื่นที่มีความฝัน ความหวังดีกว่า |
5 คนทางบ้าน(พ่อ แม่ แฟน ครอบครัว ไม่เห็นด้วย ไม่ให้ทำ) |
เมื่อเจอใครที่พูดแบบนี้ สิ่งที่ต้องรู้อย่างแรกก่อนเลยคือ แล้วจริงๆ คนที่พูดอยากทำจริงหรือเปล่า และถ้าอยากทำ อยากทำมากน้อยขนาดไหน |
และอยากทำธุรกิจเครือข่ายไปเพื่ออะไร ลองถามถึงเหตุผลเหล่านี้ก่อนที่จะตอบหรืออธิบายมุมมองเกี่ยวกับข้อโต้แย้งนี้เพราะก็มีหลายๆคนจริงๆ |
ก็ไม่ได้อยากทำอะไรมาก พอลองไปปรึกษาคนทางบ้าน แล้วเค้าไม่ให้ทำก็เลยขี้เกียจเรื่องมาก ขี้เกียจทำเลย (อาจคิดในใจก็ได้ว่า ดีเหมือนกัน |
ก็ขี้เกียจทำอยู่เหมือนกัน) ถึงเราอธิบายมุมมองให้ทำหรือให้พูดอย่างไรกับคนที่บ้าน เค้าก็อาจตอบว่าเราไม่อยากทำ ขัดใจ หรือโกหก คนทาง |
บ้านจริงๆเราก็รู้ว่าทางบ้านไม่อยากให้ทำแต่เราก็ยังทำ ทั้งๆที่บางเรื่องไม่ต้องถามใครก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่เหมาะสมเช่น นศ.หลายคนก็รู้ว่าการ |
โดดเรียน กินเหล้า เที่ยว เกเร หรือติดยาเสพติดเป็นสิ่งที่ไม่ดี และก็รู้ว่าทางบ้านไม่เห็นด้วยแต่เราก็ยังทำ ยังแอบทำ เพราะคงไม่มีใครปรึกษากับทางบ้านก่อนว่าสิ่งเหล่านี้ดีหรือเปล่าให้ทำไหม? แล้วทำไมเรายังทำ ก็ง่ายๆ เพราะว่าเราอยากที่จะทำสิ่งเหล่านี้มากนั่นเอง เราถึงหาหนทางทำ |
โดยไม่ให้ใครรู้ได้ไงครับ ทั้งๆที่รู้ว่าจริงๆเป็นสิ่งไม่ดีเรายังแอบทำ ทีธุรกิจเครือข่ายเรารู้ว่าเป็นการทำงานเป็นสิ่งที่ดี ถ้าจะแอบทำ ยังน่าที่จะแอบ |
ทำมากกว่า แต่อธิบายอย่างนี้ไม่ใช่สนับสนุน ให้โกหกหรือปิดบังคนทางบ้านนะครับ แต่การที่เค้าไม่ให้ทำ เพราะเค้าอาจไม่เข้าใจเหมือนที่เรา |
เข้าใจ การที่พ่อแม่ไม่ให้ นศ. ทำ เพราะเค้าอาจมองว่างานเครือข่ายไม่น่าสนใจ เลยไม่อยากให้ทำ เพราะกลัวเราจะเสียการเรียนด้วย แต่ถ้าวันนี้ |
เราขอทำงานพิเศษอย่างอื่น เช่น สอนพิเศษรุ่นน้องคิดว่าเค้าจะให้ทำไหม? น่าจะให้ทำเพราะว่ามันดูดีกว่าการที่ไปเครือข่ายมาก ในความคิด |
ของเค้า เค้าก็จะไม่กังวลเรื่องเสียการเรียน เพราะฉะนั้นการที่ผู้ปกครองของหลายคนไม่อยากให้ทำเพราะเสียการเรียน ความจริงคือท่านมองว่า |
งานเครือข่ายไม่น่าสนใจมากกว่าเลยไม่อยากให้เราทำ |
ส่วนถ้าเป็นแฟน ไม่เห็นด้วย ก็ดูว่าในกรณีนี้แต่งงานกันหรือยัง ถ้าแต่งแล้วก็คงต้องพยายามอธิบายให้เค้าเข้าใจว่า จริงๆธุรกิจนี้เป็นอย่าง |
ไร เราำลังทำอะไรอยู่ เพราะในธุรกิจนี้เมื่่อทำไปต้องมีการประชุมเรียนรู้ ที่ Center อาจมีการกลับบ้านดึกได้ การที่แฟนเราไม่รู้ว่าเราทำอะไร แล้ว |
กลับบ้านดึก ก็อาจที่จะเกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้นค่อยๆอธิบายให้เข้าใจ และพยายามใช้เวลาที่มีทำให้สำเร็จ เพราะถ้าแฟนเราเห็นว่าเวลาที่เรา |
ใช้ไปในการทำธุรกิจ แต่สามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ เค้าก็เข้าใจและยอมรับได้ง่ายขึ้น |
ในกรณีที่ยังไม่ได้แต่งงาน หรือ อยู่ในช่วงที่กำลังคบหาดูๆกันอยู่ อยากให้ลองมองพิจารณาว่า มันมีเหตุลที่เพียงพอหรือเปล่าในการที่จะ |
ไม่ทำแล้วถ้าจะอธิบายให้เข้าใจแล้วเขาพร้อมจะยอมฟังหรือเปล่า ถ้าไม่ยอมรับฟังหรือเปล่า ถ้าไม่ยอมรับฟัง หรือไม่มีเหตุผลเลยก็ให้ลองมาชั่ง |
นํ้าหนักดูว่า แล้วจริงๆเราอยากทำธุรกิจนี้เพื่ออะไร เหตุผลที่เราอยากทำธุรกิจนี้ จะเป็นตัวบอกเราเองว่า จริงๆแล้วเราควรจะทำอะไรต่อ ระหว่าง |
ไม่ทำธุรกิจเพื่อแฟนเรา หรือ ไม่เชื่อแฟน และเลือกสิ่งที่เราต้องการในอนาคต แล้วทำธุรกิจต่อถ้าเหตุผลที่เราอยากทำธุรกิจไม่มีอะไรมาก แต่ |
เล่นๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยู่กับแฟนดีกว่า จะได้ไม่ต้องมีปัญหากัน แต่ถ้ามีเหตุลทำเพื่ออนาคต เช่น ทำเพื่อ พ่อแม่ ครอบครัวของเรา หรือมี |
ความใฝ่ฝัน อะไรบางอย่าง ก็ไม่เห็นต้องคิดมากเหมือนกัน เลือกครอบครัว เลืกอนาคตของตัวเอง ดีกว่าที่จะมายอมเชื่อคนอื่นแค่คนเดียว |
ปล. ไม่อยากแนะนำหรือส่งเสริมให้ ต้องมีการเลิกลากัน ระหว่างคนสองคน เพราะต้องทำธุรกิจนี้ครับ แต่อยากให้ไตร่ตรองดูดีๆ ทั้งสอง |
เรื่อง คือเรื่องธุรกิจ และเรื่องคู่ของตัวเราด้วย ว่าจริงๆแล้วคนนี้ ที่มีความคิดอย่างที่เขาเป็นอย่างนี้ ใช่หรือเปล่า คนที่เราจะฝากชีวิต หรืออนาคต |
ไว้ด้วย ถ้าคู่ของเราเขาไม่ชอบงานเครือข่ายและไม่อยากให้เราทำจริงๆ แต่มีมุมมองเรื่องอนาคตที่ดี และทำอย่างที่คิด ที่พูดได้ด้วยเพียวแต่ไม่ |
ชอบงานเครือข่ายและไม่ยากให้เราทำ ก็อย่าขัดใจเขาเลยครับ ทำแล้วต่างคนต่างอึดอัด อยู่ด้วยกันดีกว่า แต่ถ้าเกิดไปเจอคนที่ไม่คิดอะไรกับ |
ชีวิตเลยอยู่แบบเรื่อยๆไปวันๆ ไม่เคยมองเรื่องอนาคต หรือเป็นจอม Project อยากทำนู่นทำนี้เต็มไปหมด แต่ได้แค่พูดไม่เคยทำอะไรถูกอะไร |
ควร คนเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะความชอบความรักอย่างเดียวมันต้องมีความคิดก้าวหน้าในชีวิตคู่ด้วย เพราะเห็นมาหลายคู่แล้ว ที่คู่ไม่ให้ทำ |
แล้วก็ไมทำสุดท้ายไม่นานก็เลิกกันอยู่ดี เพราะฉะนั้น เรื่องนี้คิดตัดสินใจกันให้ดีๆนะครับ สำคัญคือเวลาตัดสินใจอย่ามองแค่วันนี้หรือปัจจุบัน ให้ |
มองเผื่อวันข้างหน้าหรืออนาคตด้วย ชีวิตยังอีกยาวครับ |
ข้อโต้แย้งที่เกิดจากข้อสงสัย เกี่ยวกับธุรกิจ (บริษัท แผน สินค้า) |
ข้อโต้แย้งในกลุ่มนี้ ค่อนข้างที่จะแตกต่างกับในกลุ่มแรก ตรงที่ว่าข้อโต้แย้งกลุ่มนี้ อาจเกิดขึ้นมาในระหว่างที่ กำลัง Sponser และหลังจากที่เค้า |
ได้รับข้อมูลจากเราไปบางส่วน ซึ่งข้อโต้แย้งกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ส่วนมากมักจะไม่ใช่ข้ออ้างในการจะปฏิเสธ(แต่ก็อาจมีบางคนยกมาอ้างเหมือนกัน) |
ดังนี้นข้อมูลในกลุ่มนี้เราจำเป็นที่จะต้องตอบ หรือให้ความเข้าใจที่ถูก กับเพื่อนเราให้ได้ โดยนำมุมมองและข้อมูลต่อไปนี้ไปใช้ตอบ ใช้อธิบาย |
ให้เพื่อนๆฟัง แต่ถ้าเกิดตรงไหนตอบไม่ได้จริงๆ ก็บอกว่า เรื่องนี้เราก็ยังไม่แน่ใจ ถ้าเค้าอยากรู้คำตอบจริงๆ เดี๋ยววันหลังเรานัดทีมงานให้ ช่วย |
อธิบายให้ฟังที (อย่าตอบมั่วๆเองนะครับ) ที่นี้มาดูกันว่าข้อโต้แย้งกลุ่มนี้มีเรื่องไหนบ้างที่เราต้องสามารถที่จะอธิบายได้ |
6 เป็นลูกโซ่หรือเปล่า แซงกันได้เปล่า คนมาก่อนได้เปรียบหรือเปล่า...? |
มีหลายๆคนเหมือนกันที่ แค่ได้ยินว่าธุรกิจเครือข่าย หรือพอได้เห็นแผนต่อๆกันไปก็มักพูดมาทันทีว่าเป็นลูกโซ่ และเราก็เผลอพูดออกไปทันทีว่า |
ไม่ใช่ลูกโซ่ โดยแท้จริงๆแล้วทั้งคนพูดและคนตอบยังไม่รู้ด้วยซํ้าว่าแล้วจริงๆลูกคืออะไร ดีหรือไม่ดี แต่เราก็มัก ตีความหมายของคำว่า ลูกโซ่ว่า |
ไม่ดีโดยจริงๆ อาจมีที่มาจากคำว่าแชร์ลูกโซ่ก็ได้ แต่ความจริงจะเรียกว่าลูกโซ่ หรือไม่นั้นไม่ใช่สาระสำคัญอะไร แต่ควรเปรียบให้เค้าดูว่าอย่าง |
เรียกว่าลูกโซ่ และถามเค้ากลับไปว่า ในความคิดเค้า เค้ามองว่าลูกโซ่เป็นอย่างไรดีหรือไม่ดีถามกลับไปดู ถ้าเค้าตอบว่าไม่รู้ หรือไม่ดี ก็ให้เรา |
อธิบายโดยใช้เรื่อง (ที่มาของสินค้า 1 ชิ้น 100% มาจากโรงงานผู้ผลิตสู่มือผู้บริโภคว่าผ่านค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง) ถ้าอย่างนี้เป็นลูกโซ่ในความคิด |
เค้า ของเราก็เป็นลูกโซ่เหมือนกัน และของทุกๆอย่างที่เกิดจากการซื้อขายก็เป็นลูกโซ่หมด เพราะทุกครั้งมีการซื้อขายของ 1 ชิ้น ต้องมีคนได้ |
รายได้ ต่อๆกันเป็นทอดๆอยู่แล้ว ทุกๆสินค้า เช่นเราซื้อเสื้อ 1 ตัว ก็ต้องมากจาการปลูกฝ้าย แล้วส่งต่อมาแปรรูป มาผ่านโรงงานผ่านไปสู่โรงงาน |
เย็บเสื้อ ส่งไปติดยี่ห้อ ส่งไปขายตามห้างต่างๆ เป็นต้น เห็นไหมครับมีคนได้ตั้งหลายต่อแต่ทำไมเราไม่คิดมาก เพราะมันเป็นเรื่องปกติทั่วๆไป |
ดังนั้นจริงๆ จะลูกโซ่ไม่ลูกโซ่ไม่ใช่สาระสำคัญหรอกครับ ถ้าคนถามยังไม่เข้าใจคำว่าลูกโซ่ว่าเป็นอย่างไร |
แต่ถ้าเกิดผู้ถามมองว่าคำว่าลูกโซ่ คือผู้มาก่อนได้ผลประโยชน์จากคนที่มาต่อทีหลังและได้เปรียบคนที่มาทีหลัง หรือมีความรู้สึกว่า |
คนที่มาทีหลังทำงานให้คนที่มาชวน หรือคนที่มาก่อน ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ก็จำเป็นที่ต้องใช้ความรู้ เรื่องแผนการตลาดเป็นตัวอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ |
ว่า จริงๆแล้วเป็นอย่างไร |
จุดที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือคำว่า ค่าหัวคิว ก่อนที่จะอธิบายลึกๆ เราบอกก่อนเลยว่าค่าหัวคิว ในความเข้าใจของเค้าน่าจะหมายถึง ราย |
ได้ที่เกิดจากการแนะนำ หรือค่าสมัคร แต่ของธุรกิจเราไม่มี โดยรายได้จะเกิดก็ต่อเมื่อมีการกระจายสินค้าเกิดขึ้นในองค์กรธุรกิจของเรา |
โดยแซงกันในธุรกิจ หรือการที่มีคนมาทีหลัง สามารถมีรายได้มากกว่าคนที่มาก่อนในธุกริจนี้ สามารถเกิดขึ้นได้โดยลักษณะต่อไปนี้ |
(A คือคนที่สมัครก่อน และ ชวน B B,คือคนมาสมัครหลัง) |
1)ในกรณีโบนัสแนะนำ โบนัสนี้ใครชวนใครได้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าต่อใคร ถ้า A ชวน B คนเดียว A ก็ได้เต็มที่ เดือนละ 60,000 บาท |
ถ้า B ชวน คนอื่นได้มากกว่าก็ได้โบนัสข้อนี้มากกว่า |
2) ในกรณีที่ B มียอดทีม ซ้าย-ขวา มากกว่า A ก็จะทำให้ B มีโบนัสมากกว่า ถึงแม้ว่ายอดทั้งหมดของ B จะเป็นยอดของ A แต่ก็จะอยู่ |
เพียงข้างเดียวของ A ซึ่งก็ไม่ได้รายส่วนตรงนี้ |
3) ในกรณี ที่ B มีโบนัสแนะนำมากกว่า A ก็จะทำให้ B มีรายได้มากกว่า A เช่น B มีลูก 5 คน แต่ละคนมีรายได้ทางที่ 1 คนละ |
600,000 บาท/เดือน B ก็จะได้โบนัสแนะนำ10% คนละ 60,000 บาท 5 คน ก็ 300,000 บาท แต่ A จะได้โบนัสแนะนำ B 10% คือ 60,000บาท |
ทั้ง 3 กรณี ถ้ายังไม่เข้าใจลองให้ทีมงานที่เข้าใจแผน ลองเขียนอธิบายให้ดู เพราะเวลา Clear คนใหม่เราก็จำเป็นต้องเขียน อธิบายให้เพื่อนฟัง |
ด้วยเหมือนกัน โดยข้อโต้แย้งข้อนี้สามารถใช้แผนอธิบายตอบได้ทั้งหมด ทั้ง เป็นลูกโซ่ แซงกันได้ มาก่อนมาหลังไม่เกี่ยว |
7สินค้าอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงหรือเปล่า |
ถ้ามีคนที่ถามอย่างนี้ ส่วนใหญ่น่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสตาร์ไลฟ์เพราะแม้กระทั่งตัวเราเองใหม่ๆ เราฟังถึงสรรพคุณ เรายังมีความรู้สึกว่า |
เวอร์เลยอะไรมันจะดีขนาดนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าเกือบทุกคนที่ฟังครั้งแรก น่าจะรู้สึกอย่างนี้ แต่จริงๆแล้ว ถ้าเราได้ลองใช้เอง หรือให้คนรอบข้างที่มีสุข |
ภาพได้ใช้ลองดู พอผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ก็จะรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ ของสินค้าตัวนี้ อันนี้เป็นในส่วนของการเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเองด้วย |
ที่นี้ถ้าเราไปคุยให้คนใหม่ที่ยังไม่ได้ทำธุรกิจนี้ หรือคนที่ยังไม่ได้คิดบวกกับธุรกิจนี้ฟัง ถ้าคุยสรรพคุณมากเกินไป บางครั้งอาจเป็นการสร้างความ |
คิดลบและความรู้สึกว่า อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงได้ เพราะฉะนั้น เราควร อธิบายให้เค้าเข้าใจว่า อะไรคือโรคเสื่อม และควรบอกว่า สตาร์ไลฟ์ |
ช่วยปรับธาตุ และฟื้นฟูสภาพร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ไม่ควรใช้คำว่าสามารถรักษาโรคได้และถ้าจะให้ดีเราก็ไม่จำเป็นต้องบอก |
ถึงทุกโรคที่ช่วยได้ก็ได้ อาจจะเจาะจงเป็น Case ไป ถ้าเกิดในกรณีที่ต้องการ ดูแลเกี่ยวกับโรคหัวใจ ก็ควรเน้นไปที่กระนวนการดูแลโรคหัวใจ |
เป็นหลัก และถ้าดูให้น่าเชื่อถือ ก็ควรอธิบายพอได้บ้าง ว่ามันจะช่วยดูแลในเรื่องนี้ได้อย่างไร ไม่ใช่บอกแค่ว่า สตาร์ไลฟ์ ช่วยโรคหัวใจได้ |
แค่นี้มันก็จะฟังดู แล้วไม่เป็นเหตุเป็นผลรับกัน และอาจมีเพิ่มเติมใน Case ที่เราเคยเจอเอง หรือในทีมงานที่สามารถช่วยบรรเทาได้ ก็สามารถนำ |
มาอธิบายประกอบก็จะเป็นการน่าเชื่อถือมากขึ้น |
สิ่งสำคัญในเรื่องนี้คือ อยากให้เราลองสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเองก่อน และถ้าเป็นไปได้ ก็อาจให้คนรอบข้าง รวมถึง พ่อแม่ คนในครอบ |
ครัว ได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูถึงแม้วันนี้เค้าอาจจะยังไม่เป็นไร แต่ในความจริง โรคเสื่อมสามรถเกิดขึ้นได้กับทุกคนยิ่งคนที่มีอายุ ด้วยแล้ว โอกาศที่ |
จะเป็นก็สูงมากขึ้น ถ้าพ่อแม่ เราไม่เชื่อ เรื่องอาหารเสริม และ ไม่ยอมซื้อ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริงๆ เราก็ควรซื้อให้ท่านทานเองเลย อย่างน้อย |
เดือนละ 1-2 ขวดกฌยังดี เพราะโรคร้ายๆต่างๆ เวลาเป็นแล้วค่อยมารักษามัน ใช้ค่าใช้จ่ายสูงกว่า และเสี่ยงกว่าการป้องกันเยอะ |
ในกรณีหากเราแนะนำคน ที่เค้าร่างกายค่อนข้างแข็งแรงไม่เป็นอะไร และหลังจากที่เค้าได้ทานไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ หรืออาจจะหมดขวด |
แล้ว เค้าก็ยังบอกว่าไม่รู้สึกอะไร ก็ให้เราบอกไปตรงๆเลยว่า ความจริงเราทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนหนึ่งก็คือการดูแลสุขภาพ ไม่ให้ป่วยใน |
อนาคต เพราะฉะนั้นการที่เค้าไม่รู้สึกอะไรก็แสดงว่าเค้าอาจแข็งแรงอยู่ แต่มันช่วยให้สุขภาพโดยรวมเค้าดีขึ้นแน่นอน อย่างน้อยเรื่องคอเรสเตอ- |
รอล หรือความดัน ดีขึ้นกว่าช่วงที่ยังไม่ได้ทานแน่นอน หรือในบางกรณี ถ้าบางคนทานแล้วไม่รู้สึกอะไร อยากให้เราลองทัก เกี่ยวกับเรื่อง การขับ |
ถ่ายว่าดีขึ้นไหม การนอนหลับว่าหลับสบาย หรือว่าหลับลึกขึ้นหรือเปล่า อาการปวดเมื่อยล้า ปกติมีดีขึ้นไหม บางทีต้องทักเค้าก่อนก็อาจมีบาง |
คนรู้สึกได้ว่า เออจริง แต่ถ้าอยากให้เห็นผลง่ายๆ ลองให้เขาใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร |
8 ทำไมต้องมีการรักยอด |
เมื่อเริ่มมีการอธิบายแผนการตลาด และเริ่มบอกถึงเงื่อนไขในการรับรายได้ คือ ต้องมีการรักษาคุณสมบัติ หรือรักษายอดส่วนตัว ขั้นตอนของ |
Silver คือ 300 PV เพียงครั้งเดียวตลอดไป บางคนอาจคิดเกิดความสงสัย หรือรู้สึกว่าทำไมต้องมีการรักษายอดด้วย จริงๆก่อนที่จะเราจะตอบไป |
เราควรถามตัวเองก่อนว่าแล้วจริงๆที่ต้องการรักษายอด ตัวเองคิดว่าดีหรือไม่ดี แล้วค่อยลองถามเพื่อนว่า เค้าคิดว่าการที่ต้องการบริโภคสินค้า |
เดือนละ 560 บาท สูงไปหรือเปล่า โดยส่วนมากคนที่รู้สึกว่าสูงไป ก็น่าจะมาจากการที่เขายังไม่เห็นความจำเป็นของสินค้า และรวมทั้งเรื่องของ |
การที่ต้องดูแลสุขภาพด้วยเราจึงควรคุยเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการบริโภค ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ว่ามีผลกับการ ดูแลสุขภาพอย่างไร และอาจ |
อธิบายสินค้าเพิ่มเติมในหลายๆหมวดก่อน จากนั้นดูว่าเค้า OK กับสินค้าขนาดไหน การตอบในลักษณะนี้ คือใช้ในกรณีที่เพื่อนคิดว่าทำไมต้อง |
ซื้อทุกเดือน หรือรักษายอดในจำนวนที่สูงไป แต่ถ้าเค้าอยากรู้เกี่ยวกับเชิงธุรกิจ ว่าทำไมต้องรักษายอด เราก็อาจให้ข้อมูลต่อไปนี้ให้เค้ารู้สึกว่า |
การมีองค์กรที่ต้องรักษายอด ดีกว่าองค์กรที่ไม่ต้องรักษายอดอย่างไร |
การมีองค์กรรักษายอด สามารถประเมินได้ว่า องค์เรามีการบริโภคสินค้าซํ้าต่อเนื่องขนาดไหน สามารถตรวจวัดความมั่งคงขององค์ใน |
อนาคต แก้ปัญหาการมีแต่องค์กร แต่ไม่มียอดธุรกิจได้ สร้างนิสัยให้เป็นนักธุรกิจที่รักสินค้าของตัวเองได้ เหตุผลต่างๆเหล่านี้ เราสามารถหยิบยก |
ขึ้มาอธิบายได้ แต่ถ้าสรุปง่ายๆ ถ้าเราอยากมีธุรกิจที่มั่นคง และหยุดได้จริงๆเราต้องปลูกฝังให้องค์รักสินค้าอย่างแท้จริง ลองนึกภาพดูว่าถ้าเราทำ |
ธุรกิจเอง เรายังไม่อยากรักษายอดหรือซื้อสินค้ามาใช้แล้วคนที่ไม่ทำ จะอยากใช้ได้จริงๆ Morseng ของเราถือว่าเป็นการรักษายอด เพียง 10 PV |
(560 บาท) ถือว่าเป็นการรักษายอดที่น้อยมากเกินไป ความจริงเราควรปลุกฝังให้องค์กร สามารถมีการ ซื้อกินซื้อใช้ หรือแนะนำ คนละ 1,000- |
3,000 บาทด้วยซํ้า โดยสร้างกลุ่มลูกค้าประจำที่บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ประมาณ 3-4 บ้าน ก็จะเป็นสร้างรากฐานองค์กรที่มั่งคงแข็งแรง |
ได้มาก และองค์กรก็จะเติบโตได้รวดเร็วด้วย อย่าลืมนะครับ ถ้าไม่รักษายอดกัน ความมั่นคงขององค์กรจะมากจากไหน |
9 เป็นบริษัทของคนไทย สินค้าผลิตในไทย จะดีจริงหรือเปล่า บริษัทเพิ่งเปิดไม่นาน จะมั่นคงหรือเปล่า...? |
การตอบข้อโต้แย้ง ข้อนี้คงเป็นข้อที่ต้องอาศัยข้อมูล และความเชื่อมากที่สุด ในการที่จะตอบ เพราะถ้าไม่มีข้อมูลมากพอ นอกจากจะไม่ |
สามารถอธิบายให้เพื่อนเชื่อได้ตัวเราเองก็อาจสูญเสียความเชื่อมั่นไปด้วยเหมือนกัน ดังนั้นจึงอยากให้เรามีข้อมูล ดังต่อไปนี้ ในการช่วยอธิบาย |
เพื่อนได้ (เราอาจเยอะหน่อยนะครับใช้ บางอย่างบางมุมให้ถูกคนนะครับ) |
ในเรื่องแรกเลยที่อาจมีคนพูดถึงเรื่องการที่บริษัท Morseng เป็นเครือข่ายของคนไทย จะไปสู้บริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศได้อย่างไร |
ทั้งเรื่องของสินค้าและแผนการตลาด อันนี้ขอตอบง่ายๆเลยว่า ไม่แน่เสมอไปว่าบริษัทต่างชาติจะประสบความสำเร็จมากกว่าบริษัทของคนไทย |
ความจริงวันนี้ในประเทศไทยเราเอง ก็มีบริษัทเครือข่ายหลายร้อยบริษัทเลยทีเดียว ทั้งบริษัทของประเทศไทยเอง และของต่างชาติ ถ้าจะถาม |
ว่า บริษัทไหนประสบความสำเร็จมากน้อยกว่ากัน ก็ต้องดูกันหลายๆปัจจัย แต่ปัจจัยที่ดูได้ง่ายมากที่สุด ฏ็ดูจากยอดขาย ก็อาจพอวัดได้บางส่วน |
จากข้อมูลล่าสุด ปี 2552 บริษัทขายตรงที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทย ก็คือแช้าป์ บริษัทแอทเวย์นั่นเอง ซึ่งเป็นบริษัทที่สหรัฐ แต่อัน 2-5 |
นั่นเป็นบริษัทของคนไทยทั้งสิ้น ยอดขายแซงหน้าบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่อย่าง Nuskin และ Herberlife ซะอีก ดังนั้นจะตัดสิ้นง่ายๆว่า เรา |
บริษัทคนไทยสู้ต่างชาติไม่ได้ก็คงไม่ใช่ เพราะในปัจจุบันบริษัทขอบคนไทย ที่มีคุณภาพก็มีอีกหลายบริษัท แต่ถึงอย่างไรจะดูบริษัทว่าดีหรือไม่ |
นั้น จะดูจากยอดธุรกิจอย่างเดียวก็คงไม่ใช่เช่นกัน เพราะว่ายังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอยู่หลายอย่าง เช่น วิศัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง แผนการตลาด |
สินค้าวัฒธรรมองค์กร กฏระเบียบจรรยาบรรณ และอื่นๆอีก |
เรามาดูองค์ประกอบสำคัญ เริ่มตั้งแต่ผู้ก่อตั้งท่านเองก็ทำธุรกิจมามากมายแต่พอท่านได้ศึกษาและเห็นความสวยงามของธุรกิจเครือ |
ข่าย ที่สามารถเป็นโอกาสในการที่จะแบ่งปันสิ่งดีๆให้ับคนรอบข้าง ทั้งสินค้าและโอกาสทางธุรกิจ ทำให้ท่านตัดสินใจก่อตั้งธุรกิจ Morseng ขึ้น |
มาดังนั้นคุณหมอเส็ง ผู้ก่อตั้งบริษัทของเรามิใช่เป็นเพียงผู้ที่รํ่ารวยที่คิดจะเปิดบริษัทขายตรง เพราะเห็นหลายๆบริษัทเปิดแล้วได้ผลประกอบการ |
ดีแล้วก็เลยเปิดบ้างแต่ท่านได้นำแนวทางความคิดของการดำเนินธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้อง และนำความรู้สึกที่อยากให้โอกาสทางธุรกิจกับคนไทย |
ทุกคนที่อยากวิถีชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นถึงจะเป็นธุรกิจของคนไทย ก็ไม่ได้จะเป็นรองบริษัทเครือข่ายของต่างชาติเลย เพราะถือว่าผู้ก่อตั้งของเรามี |
ทั้งทรัพย์สินที่เป็นความมั่นคงและวิสัยทัศน์ที่ดีด้วย |
ในปัจจุบันบริษัท Morseng เปิดสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ตรงข้าม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต บนเนื้อที่ 15 ไร่ มูลค่ากว่า 1,000 บาท |
อีกทั้งซื้อที่ที่ อ.วังน้อย จ.อยุธยา อีก 200 กว่าไร่ เพื่อสร้างโรงงานเพิ่มอีก รวมมูลค่าโรงงาน กว่า 1,000 ล้าน เพื่อรองรับการเจริญเติบโตไปทั่ว |
โลก |
ในส่วนของสินค้า การที่มีสินค้าผลิตในประเทศ แล้วจะมีคุณภาพด้อยกว่าของบริษัทอื่นเลยหรือเปล่า ตรงนี้ถ้าจะให้ตอบตรงๆ ต้องมาถาม |
ตัวเองหรือผู้ที่จะตอบคนอื่นว่า ตัวเราได้ใช้สินค้าด้วยตัวเองแล้วหรือยัง ถ้ายังถึงแม้จะมีข้อมูลมากเพียงไร ก็คงตอบได้แบบเกร่งๆ ว่าไม่รู้มันจะดี |
จริงหรือเปล่า แต่ถ้าถามจากตัวผมเอง ก่อนที่จะตัดสินใจทำธุรกิจ หลังจากที่ผมฟังทุกอย่างจบหมด แล้วคิดว่าน่าจะลองทำธุรกิจนี้ดูสิ่งสุดท้าย |
ที่ต้องการพิสูจน์ก่อนที่จะลงมือทำก็คือเรื่องคุณภาพของสินค้านี่แหละว่ามันจะดีจริงหรือเปล่า เลยได้ลองซื้อสินค้ามาใช้ดูได้หลายๆหมวดหมู่ |
ด้วยกัน ทั้งส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องดื่ม และทดสอบกับคนรอบข้างบางคนด้วยเป็นเวลาเกือบ 1 เดือน ปรากฏว่า มัน OK มากๆ ใน |
เรื่องของสภาพผิวหน้าของตัวเองและหลายๆคนดีขึ้น ทั้งเรื่องกระ หรือเรื่องสิว และไม่เกิดผลข้างเคียงด้วย ส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ได้ผล |
ในหลายๆคน ทั้งเรื่องภูมิแพ้ และอาการปวดศรีษะ ดังนั้นผมจึงคิดว่า สินค้ามีคุณภาพจริง และสามารถพูดด้วยความเชื่อมั่น...จากข้อมูลต่อไปนี้ |
เรื่องแรกจากประสบการณ์ตรงที่เราใช้แล้วดีอย่างไร ก็สามารถแชร์ประสบการณ์ให้เพื่อนๆฟังอย่างมั่นใจ |
ต่อมาในส่วนของการผลิต ของเราเริ่มจากการคัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงสุดที่ดีสุด รวมทั้งขั้นตอนการผลิตต่างๆ จึงทำให้ผลิตภัณฑ์มี |
โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ซึ่งแต่ละโรงงานเขาก็มีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป เช่น บริษัทที่ผลิตเกี่ยวกับยา อย่าง Phizer เป็นบริษัทยา ที่มีขนาด |
ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถผลิตลิสเตอรีล Viarga ได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่สามารถผลิตยาพาราเซตามอล ได้ดีเท่าไทลินอล ของบริษัท Jensen ซึ่ง |
ถือเป็นบริษัทยาอันดับ 5 ของโลก เรื่องวัตถุดิบถ้าต้องการขนแปรงคุณภาพดี ก็ต้องใช้ขนแปรงจากเยอรมัน ถ้าต้องการหัวนํ้าหอมชั้นดีก็ต้องจาก |
ฝรั่งเศส ถ้าต้องการสมุนไพรต้องไทย เป็นต้น เพราะฉะนั้น แต่ละที่จะโดดเด่นต่างกัน แต่ของเรารวมกระบวนการทุกอย่างเป็นของเราเอง ดังนั้น |
เราจึงมั่นใจว่าเรามีสินค้าที่ดีและทันสมัยตลอดเพราะคุณหมอเส็งจะคิดค้นและปรับปรุงคุณภาพของสินค้าอยู่ตลอด |
และส่วนเรื่องโรงงานที่ใช้ในการผลิตสินค้านั้น เมื่อเราศึกษาดีๆ จะพบว่าปัจจุบันมีสินค้าหลายยี่ห้อมาก ที่เป็นสินค้าของต่างชาติ แต่ทำ |
การผลิตในประเทศไทยได้ เช่น ของใช้อุปโภค บริโภค บางคนอาจคิดว่า ผงซักฟอกบรีส ยาสีฟันคอลเกต เป็นสินค้าของคนไทย เพราะเราได้ |
ยินชื่อมานานความจริงสินค้าเหล่านี้เป็นของต่างประเทศ แต่มาผลิตในประเทศเรา และอื่นๆ เช่น เครื่องสำอางค์ Shisedo ก็เครื่องสำอางค์ญี่ปุ่น |
รถ เบนซ์ ก็ผลิตในประเทศไทย เพราะจริงๆ สินค้าที่ผลิตในประเทศก็สามารถมีคุณภาพดีได้ ถ้าคนที่จ้างผลิตกล้าใช้ต้นทุนที่สูง ก็จะได้ผลผลิต |
ที่มีคุณภาพ แต่ที่หลายๆคนคิดว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ของคนไทยเองไม่ค่อยมีคุณภาพ เป็นเพราะผู้ที่จ้างผลิตมักจะควบคุมค่าใช้จ่ายที่ |
ใช้ในการผลิต เพื่อให้ได้กำไรที่มากนั่นเอง ทำให้สินค้าหลายๆชนิดเลยมีคุณภาพที่ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้ากล้าทุ่มเทแรงงานไทยก็สามารถผลิตสิน |
ค้าที่ดีไม่แพ้ต่างชาติใด อย่างโรงงานของ หมอเส็ง เป็นโรงงานผลิตสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในประเศไทย ได้รับมาตรฐานในการผลิต GMP ผลิต |
ด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัยปริมาณการผลิตต่อวันสูงสุด ทำให้ผลิตเพียงพอต่อผู้บริโภค และที่สำคัญ เป็นผลิตที่ทรงคุณภาพ ใช้แล้วเห็นผลชัดเจน |
ในเรื่อง ประโยชน์ ประหยัด ประสิทธิภาพ ปลอดภัย และที่สำคัญ รับประกันความพอใจ ยิ่งกว่านั้นโรงงาน หมอเส็ง เป็นโรงงานที่คุณหมอเส็ง |
ตั้งขึ้นมาและเป็นเจ้าของเอง ควบคุมการผลิตด้วยตนเอง สินค้าไม่ได้จ้างใครผลิต คุณหมอเส็ง ดำเนินการเองทั้งหมด ตั้งแต่ ผลิต วัตถุดิบเอง |
บางส่วน ปรุงสูตรเองตามตำหรับที่ได้รับสืบทอดมา 4 ชั่วอายุคนจากบรรพบุรุษ ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดจึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทรงคุณภาพระดับห้า |
ดา่วที่จะนำมาสาธิตให้เห็นถึงคุณภาพ และความประหยัดได้อีกด้วย ดังนั้นทั้งหมดนี้จะสามารถให้ความมั่นใจกับตัวเรา และสามารถที่จะนำข้อมูล |
บางส่วนไปใช้อธิบายให้เพื่อนๆฟังได้แต่สุดท้ายเราอาจบอกเพื่อนได้ว่าสำคัญที่สุดคือสินค้า จะมีเทคโนโลยีอย่างไรหรือจากการผลิตจากต่างประ |
เทศอย่างไร แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะซื้อได้(คือมีราคาแพงเกินกำลัง) ก็จะถือว่าเป็นสินค้าที่ไม่มีประโยชน์กับตัวเราเลย ตรงกันข้ามต่อให้สินค้า |
ผลิตที่ไหนก็แล้วแต่ แต่เราามารถที่มีกำลังซื้อได้และเหมากับตัวเรา จริงไหมครับ? ในส่วนนี้เราก็ลองเรียบเรียงข้อมูลไปตอบเพื่อนให้เขามีความ |
มั่นใจดูนะครับ |
สุดท้ายเรื่องความมั่นคงของบริษัท อาจเป็นเพราะมีหลายคนเห็นว่ามีบริษัทขายตรงหลายๆบริษัท เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิดตัวไป ก็เลยคิด |
ว่าบริษัท Morseng เพิ่มเปิดมาเพียง 14 ปี จะมีความมั่นคงได้อย่างไร จริงๆวันนี้ไม่ใช่เพราะธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่แค่บริษัทขายตรงที่ดำเนินกิจ |
การได้ ไม่กี่ปีก็ต้องเจ้ง โดยเฉลี่ย ใน 100 บริษัท อาจปิดตัวภายใน 10 ปี บริษัทที่เหลือ คือบริษัทที่อยู่ได้ไม่เกิน 10 ปี ในทุกๆกิจการ ดังนั้นการ |
ที่มีบริษัทขายตรงจำนวนมากที่ปิดกิจการ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ก็เหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ทั่วไปดังนั้นการที่จะมีบริษัทเปิดใหม่ ทั้งธุรกิจทั่วไปหรือขาย |
ตรงที่เพิ่งเปิด 1-3 ปี แล้วจะบอกว่าไม่มั่นคง หรือจะเจ้งจริงๆ ก็ตัดสินใจอย่างนี้ไม่ได้หรอก เพราะต้องดูที่ปัจจัยหลายๆอย่าง เป็นองค์ประกอบ |
ด้วยอย่างปัจจุบัน หลายๆคนคงรู้จัก Google กันดี เราทราบหรือเปล่าครับว่า วันที่ Google เปิดตัววันแรก ประมาณปี 1998 ด้วย พนังงานแค่3คน |
และเงินทุนเพียงล้านเหรียญสหรัฐ จะมีใครกล้าคิดว่า Google ปัจจุบันจะโตวัน โตคืน แซงหน้ายักษ์ใหญ่ในโลก Internet และเทคโนโลยี อย่าง |
Yahoo และไล่เบียดไมโครซอฟ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เพียงแค่ 9 ปี นับถึงวันนี้ ถามว่าเพราะอะไร ก็ตอบว่า เป็นเพราะวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง ซึ่ง |
ปัจจุบัน อายุแค่ 30 กว่าๆ ก็เป็นเศรษฐีหน้าใหม่ที่อายุน้อยที่สุดในสหรัฐไปแล้ว แล้ววันนี้ถ้าจะมีใครมาบอกว่าบริษัทที่เพิ่งเปิดมาไม่ถึง 10 ปี |
แล้วไม่มั่นคงผมว่าเรามองแค่ปัจจัยเดียวคือเรื่องเวลาเกินไป เพราะจริงๆ บริษัทเครือข่ายที่มีอายุเกิน 10-20 ปี ก็ต้องมีปีเเรกที่เพิ่งเปิดทุกบริษัท |
เหมือนกัน เพียงแต่ที่อยู่มาได้นานนั้น เพราะว่าต้องมีองค์ประกอบอื่นๆด้วยเช่นกัน ถ้าวันนี้ว่าจะถามว่ามั่นใจ หมอเส็ง ได้อย่างไรก็คงตอบว่า เชื่อ |
ในวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง และเชื่อใน U/L ที่ประสบความสำเร็จให้เราเห็นแต่ถ้าวันนี้มีใครที่มาถามว่ามั่นใจได้ไหมว่าบริษัท หมอเส็ง จะมั่นคงแค่ |
ไหน อีก 10 ปี มันจะปิดตัวไหม ผมก็จะตอบตรงไปตรงมาเลยว่าผมก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตมันจะเจ้งหรือเปล่า แต่วันนี้ผมคิดว่าบริษัทนี้ดี มีองค์ประ |
กอบหลายๆอย่างครบและน่าร่วมงานด้วย และอาจจะค่อยๆให้ข้อมูลเค้าวิเคราะห์ร่วมกันว่าเป็นอย่างไร |
แต่ถ้าเค้ายังต้องการรายละเอียดเล็กๆ เรื่องความมั่นคง อาจอธิบายเป็นประเด็น ในส่วนของแผนและสินค้าตามนี้ก็ได้ |
ปัจจัยแรกสินค้า อันนี้คือสิ่งสำคัญ ผมก็จะถามเค้าเลยว่า ถ้าบริษัทเค้ามีสินค้าที่ดีใช้แล้วเห็นผล และเกิดการบริโภคซํ้าแล้ว ซํ้าอีก ยิ่งนานยิ่งมี |
ยอดขายเยอะ และบริษัทจะรวยขึ้นหรือจมลง? รวยขึ้นจริงไหมครับ แล้วริษัทเรามีสินค้าดีคนซื้อซํ้าใช้แล้วเห็นผลจริง ดังนั้นถามว่าแล้วอะไรคือ |
เหตุผลที่บริษัทต้องปืดตัว เรื่องคุณภาพสินค้าก็อย่างที่ได้ตอบไปข้างต้นแล้วอันนี้ผ่าน |
ปัจจัยต่อมาเรื่องแผน ถ้าเรายิ่งทำยิ่งสำเร็จ คนที่เราชวนมาก็เกิดรายได้ ถามว่าองค์กรเราจะมั่นคงหรือเปล่า? มั่นคงแน่นอน เพราะมีคนที่ |
ประสบความสำเร็จ และเกิดรายได้หลายคน คนที่มีรายได้โอกาสที่เขาจะเลิกก็มีน้อย เราก็สามารถหยุดพักได้มากกว่าคนที่ไม่มีคนในองค์กร |
สำเร็จเลยประเด็นนี้ถ้าให้ตอบลึกๆอาจอธิบายว่าจริงๆ บริษัทเครือข่ายหลายๆบริษัท ที่เปิดมาเกิน 10-20 ปีแล้ว แน่นอนในส่วนตัวบริษัทผ่านการ |
พิสูจน์มาแล้วมีความมั่นคงแน่แต่ถ้าว่าตัวนักธุรกิจที่ทำ มีความมั่นคงทุกคนไหมอันนี้กล้าตอบเลยว่าไม่มั่นคงทุกคน มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ |
เค้าใช้ในการดำเนินธุรกิจ ถ้าถามผมง่ายๆว่าให้ดู จำนวนผู้นำที่มีรายได้จริงๆ จากธุรกิจในองค์กร ว่ามีคนที่เกิดรายเหลือ(รายได้จริงๆที่หักค่าใช้ |
จ่ายในการซื้อผลิตมาใช้) มากน้อยกี่คน ถ้าเค้าผู้นำที่มีรายได้มาก ก็หมายความว่า คนๆนี้มีความมั่นคงของธุรกิจมากกว่า คนที่มีรายได้จริงๆใน |
องค์กรไม่กี่คนแน่ แล้วแผนธุรกิจของธุรกิจเราดีอย่างไร ข้อดี คือสามารถที่จะสร้างรายได้ ในช่วงแรกได้ไม่น้อย ทำให้มีกำลังใจในการดำเนิน |
ธุรกิจต่อแต่อาจไม่ได้มากเกินเหมือนบางบริษัท ที่ได้มาช่วงแรกแล้วค่อยๆดิ่งลงอย่างนี้ก็ไม่ Work ข้อต่อมาแผนเราสนับสนุนให้ช่วยทีมงานมี |
รายได้จริงๆ เราจะมีรายได้โบนัสแนะนำที่มากก็ต่อเมื่อ คนที่เราชวนมามีรายได้มาก โดยคิดจากรายได้ของคนที่เราชวนไม่ใช่จากยอดธุรกิจของ |
เค้า เพราะถ้าคิดจากยอด บางทีคนนั้นอาจมีรายได้น้อยก็ได้ ดังนั้นจึงมีความคุ้มค่าและทำให้อยากช่วยเหลือผู้คนจริงๆ อีกข้อหนึ่งที่ดีคือ แผน |
ธุรกิจนี้เป็นแผนที่ทำให้เกิดการบริโภคตามจริงไม่ใช่ Demand เทียม คือซื้อปิดยอด หรือปิดตำแหน่งที่สูงขึ้น จนเกิดการสต๊อกสินค้า แผนเรา |
สนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้บริโภคจริงๆ จะมีลูกค้าก็เพียงแต่ 3-5 ราย สร้างยอกขายเดือนละ 3,000 บาท ก็ประสบความสำเร็จได้ และสร้างความ |
มั่นคงได้ |
สุดท้าย...อาจให้ข้อมูลเพิ่มอีกนิดในส่วนของความมั่นคงของบริษัท นอกจากเรื่องแผนและสินค้า ก็คือ กฏจรรยาบรรณ และนิสัยใจคอ |
แนวคิดของบริหาร บางบริษัทแผนดี สินค้าดี แต่รักษากฏจรรยาบรรณไม่ได้ มีพวกผู้จำหน่ายระดับสูงที่มีอิทธิพลทำการโยกย้ายสายงานบ้าง |
เสนอผลประโยชน์ให้ S/L เพื่อสายงานบ้าง หรือเจอพวกแม่ทีมที่มีบริษัทอื่นเสนอผลประโยชน์ที่มากกว่า ก็ย้ายทีมงานไป ทำให้บริษัทเกิดผล |
กระทบได้ ซึ่งพิจารณาจาก หมอเส็ง แล้วบริษัทมีกฏจรรยาบรรณที่แข็งแรงมาก และดีเหมือนธุรกิจยักษ์ใหญ่ และผู้นำในบริษัทก็ไม่มีพวกแม่ทีม |
ที่หาผลประโยชน์เข้าตัวเองทำให้ไม่น่าเกิดปัญหานี้ภายหลัง |
ทั้งหมดนี้น่าจะสามารถเป็นข้อมูลที่เพียงพอในการอธิบายบางส่วนให้เพื่อเราได้ฟัง อาจไม่ต้องใช้ทั้งหมดในตอนแรก เพราะมันเยอะ |
มาก แต่ก็ค่อยๆมาเติมให้หลังจากที่เค้าเข้าในในธุรกิจแล้วแต่อย่างน้อย ก็อยากให้คนที่ได้อ่าน มีความเข้าใจและเชื่อมั่นจากตัวเองก่อน และ |
ค่อยๆนำเรื่องราวจากตรงนี้บางส่วน หรือบางมุมไปใช้ บวกกับประสบการณ์ตรงของตัวท่านเอง ทั้งในเรื่องของการใช้สินค้า และโอกาสทางธุรกิจ |
ไปอธิบายให้เพื่อนๆของเราฟัง ก็จะสามารถให้เค้ามีความเชื่อมั่น และเข้าใจได้มากขึ้น |
10 ต่างกับ Am....อย่างไร...? หรือดีกว่าธุรกิจเครือข่ายอื่นอย่างไร....? |
(ในส่วนข้อโต้แย้งข้อนี้ถือเป็นข้อสุดท้าย และเป็นของแถมให้นะครับ...อาจจะยาวและเยอะมากในส่วนของเพื่อนๆใหม่ อาจอ่านแล้วเข้าใจ |
บ้างบางส่วน งงๆ บ้างก็ไม่เป็นไร จริงๆไม่มีวัตถุประสงค์ที่อยากแนะนำให้เปรียบเทียบ หรือโจมตีธุรกิจยักษ์ใหญ่ หรือบริษัทอื่นๆ และไม่อยากให้ |
เพื่อนๆ ต้องตั้งหน้าตั้งตา หรือคิดแต่จะ Sponsor คนที่ทำธุรกิจอื่น เพราะต่อให้คนละบริษัทกัน ก็เข้าข่ายแย่งสายงานอยู่ดี ดังนั้น อยากให้คิดถึง |
ใจเขาใจเรา ว่าถ้าเรามาถูกแย่งสายงานเราก็คงไม่ชอบ แต่นอกจากกรณีที่ เพื่อนเราอาจท้อแท้กับธุรกิจเดิม หรือเลิกไปแล้ว หรือทีมงานต้องการ |
ให้ไปคุยกับเพื่อนของเขาที่ทำธุรกิจอื่นตัวอื่นอยู่ เราก็สามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ได้ แต่ก็พยายามให้อยู่ในหลักไม่รุนแรงเกินไปนะครับ |
เมื่อไป Sponsor คน และเจอศิษย์เก่า ที่เคยทำธุรกิจยักษ์ใหญ่ หรือคนที่ทำธุรกิจเครือข่ายบริษัทอื่นอยู่ และปัจจุบันก็ยังทำอยู่ หากเราต้อง |
การ Sponsor จริงๆ อยากให้เราถาม 2 คำถาม นี้ก่อนเลย คือเรื่องความเชื่อ กับบริษัทที่ทำอยู่ และสายสัมพันธ์ที่เขามีอยู่ U/L หรือทีมงาน แล้ว |
คำตอบจะบอกเราได้เลยว่าสมควร Sponsor หรือสมควรที่จะดพูดคุยเป็นเพื่อนกันเฉยๆ เช่น ถามเค้าว่า ปัจจุบัน เค้ายังทำธุรกิจเดิมอย่างจริงจัง |
หรือยังมีความเชื่อกับะุรกิจที่ยังทำอยู่หรือเปล่า? และเขายังมีสายสัมพันธ์ทีมงานอย่างไรบ้าง ถ้าคำตอบคือ มีสายสัมพันธ์ที่ดี ยังติดต่อกับทีมงาน |
อยู่สมํ่าเสมอแนะนำเลยครับว่า อย่าไป Sponsor เค้าเลย จะไม่สนใจหรือไม่ย้ายตามเรามาแน่นอนไม่ว่าธุรกิจเราจะดีอย่างไร รวมถึงไม่ว่าเค้าจะมี |
รายได้หรือไม่มีรายได้จากธุรกิจเดิมที่เค้าทำอยู่ เพราะในธุรกิจอย่างนี้ บางครั้งสายสัมพันธ์ และความเชื่อต่อบริษัท อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้เรา |
ไปคุยว่าของเราดีอย่างไร เค้าก็ฟังแล้วก็จะพยายามพูดปกป้องบริษัท ตัวเองตลด และถ้าเราไปพูดลบ หรือโจมตีบริษัทเดิมที่เค้าทำมากเกิน |
เค้าก็คงไม่ย้ายตามเรา และเรายังไปสร้างคาวมเหี่ยวให้กับเขาอีก ซึ่งถือว่าเป็นการทำร้ายเพื่อนร่วมอาชีพด้วย (ซึ่งแรกๆผมก็เคยทำเพราะยังรู้ |
เท่าไม่ถึงการ แต่ปัจจุบันกลับรู้สึกไม่ดีกับการกระทำนั้น และไม่อยากที่จะให้ใครไปทำอย่างนั้นอีก) |
แต่ถ้าเกิดคนๆนั้นเริ่มที่จะหมดความเชื่อต่อบริษัทเดิม หรือไม่ค่อยได้ติดต่อกับ U/L เท่าไหร่ ให้ลองถามดูว่าตอนนี้ เค้ารู้สึกอย่างไรกับ |
ธุรกิจเครือข่าย ยังชอบความสำเร็จในงานเครือข่ายอยู่หรือเปล่า ถ้ายังชอบอยู่ ก็ Sponsor ได้ แต่ก็มีบางคนพอเลิกจากธุรกิจเครือข่ายเดิมก็พาล |
หมดความเชื่อในธุรกิจประเทภนี้ไปเลย ก็มี แต่ก็อาจลอง Sponsor ดูก็ได้ เค้าอาจกลับมาเห็นโอกาสอีก ดังนั้นคนที่เราไม่สมควรจะไปยุ่งด้วยก็ |
คือคนที่ยังมีความเชื่อต่อบริษัท + สายสัมพันธ์ที่ดีกับทีมงานอยู่ แต่ถ้ามีความเชื่อแต่สายสัมพันธ์ไม่ดี ก็ยังอาจ Sponsor ได้ถ้าเค้าต้องการความ |
สำเร็จในคเรือข่ายและเห็นว่าบริษัทเราเป็นโอกาสที่ดี |
แต่ก่อนอื่น หากต้องการคุยกันจริงๆ คำพูดที่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คือ ดีกว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ เพราะว่า...หรือดีกว่า บริษัทอื่นอย่างไรนั้น |
ไม่อยากให้ต้องเทียบกับธุรกิจใดตรงๆ แต่อาจใช้คำพูดว่า เท่าที่เราศึกษาดู จากหลายๆองค์ประกอบนั้น เราดูว่าธุรกิจ หมอเส็ง นี้เป็นโอกาสที่ดี |
ที่เอื้อให้เราประสบความสำเร็จ และส่วนแรกที่เรามั่นใจคือนส่วนของผู้บริหารที่มี วิสัยทัศน์ และแนวคิดที่ดีในการสร้างธุรกิจ คือต้องการผลิตสิน |
ค้าใหม่ที่ดีที่สุดออกจำหน่ายสู่ผู้บริโภค และปลูกฝั่งให้องค์กรในอนาคต ในส่วนอื่นๆที่เราจะใช้พิจารณาในการเลือกธุรกิจเครือข่ายเราก็จะดูจาก |
จากสิ่งเหล่านี้ ที่จะเรียกว่า 3T |
T ตัวแรก คือ เรื่องของ Trend หมายถึงเรื่องของแนวโน้มตามยุคสมัยสภาพเศรษฐกิจ หรืออะไรต่างๆ ที่ตามสมัยของมัน ซึ่งก็ดูหลักๆ |
ประมาณ 2 ส่วน คือสินค้า และแผนการตลาด |
สินค้ายุคสมัยนี้ถ้า มีบริษัทเปิดใหม่ ใครไม่มีสินค้าในกลุ่มนี้ถือว่าค่อนข้างไม่ตามสมัย คือกลุ่ม Health & Beauty ใครไม่มีสินค้าเกี่ยวกับ |
อาหารเสริมและเครื่องสำอางค์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มตลาดที่ใหญ่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ และเกิดการซื้อซํ้ามากทีั่สุด และต่อมาคือ เรื่องของคุณภาพและ |
ราคา ก็สำคัญมาก จริงๆแล้วสินค้าในธุรกิจเครือข่ายไม่ว่าบริษัทไหนก็มักจะบอกว่า สินค้าตัวเองดี แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์กันจริงๆ ให้ดูที่กลุ่ม |
Member ที่เป็นผุ้บริโภค ที่ซึ่งโดยไม่ได้รับเงินปันผลว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าธุรกิจคนที่ใช่สินค้ามีแต่เฉพาะนักธุรกิจ แสดงว่าธุรกิจนั้นคนใช้ |
สินค้าใช้เพราะต้องการทำธุรกิจเท่านั้น ผู้คนไม่ได้ประทับใจสินค้ากันจริงๆ คนที่ไม่มีรายได้หรือไม่ทำธุรกิจ ก็จะไม่ใช้สินค้ากัน และอีกกรณีถ้า |
สินค้านนั้นจำหน่ายยาก และ คนก็ไม่เกิดการสั่งซื้อซํ้า ก็จะมีอายุธุรกิจได้ไม่นาน ดังนั้นต้องมาพิจารณา ทั้งเรื่องคุณภาพว่าใช่แล้วเห็นผลหรือ |
เปล่า ถ้าเห็นผลยิ่งเร็วก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจ ทั้งในสว่นของนักธุรกิจและลูกค้าก็ได้ ที่สำคัญเรื่องราคาก็ต้องสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน |
ด้วย ว่าเหมาะสมหรือเปล่า ถ้าสินค้าราคาสูงเกินไป ถึงแม้สินค้าจะดีแต่กลุ่มคนที่จะซํ้าได้ก็คงมีไม่มากเพราะตามฐานะที่เขามี ยังไงก็ต้องใช้จ่าย |
ในชีวิตประจำวันก่อนดังนั้นปัจจัยเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นเรื่องแรก ในส่วนของสินค้านอกจากนั้นในส่วนอื่นๆ ที่จะส่งผลให้ดูน่าสนใจมาก |
ขึ้น คือความหลากหลายของหมวดหมู่สินค้า ถ้ามีหลากหลายกลุ่มให้เลือกซื้อ ก็น่าสนใจเป็นทางเลือกที่ลองลงมา เช่น มีในกลุ่มของใช้ส่วนตัว |
และสุขภาพ เพราะจะทำมีการซื้อสินค้าหมุนเวียนได้มากกว่า ธุรกิจที่มีสินค้าตัวเดียว หรือกลุ่มเดียว |
ที่นี้มาดูสินค้า หมอเส็ง ว่าอยู่ใน Trend นี้ตรงไหน เรื่องแรก สินค้า หมอเส็งมี 5 หมวด โดยเน้นความสำคัญ ไปที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอา- |
หาร และกลุ่มยาสามัญประจำบ้าน ซึ่งก็อยู่ในกลุ่ม Health & Beauty และในส่วนของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมีสินค้าที่โดดเด่นมากคือ |
Starlife ซึ่งสามารถดูแลในเรื่องสุขภาพได้ดี และเห็นผลภายใน 1-2 สัปดาห์ด้วย นอกจากนั้นกลุ่มคนที่ซื้อ ก็มีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงตลาด |
กลาง-บนด้วย และอัตราการซื้อซํ้าจากกลุ่มที่เป็นแค่ Member ก็สูงมากด้วย เพราะทั้งเรื่องคุณภาพ และราคาที่เหมาะสมมากและในกลุ่มของยา |
สามัญประจำบ้านราคาก็ไม่สูงมากใช้แล้วเห็นผลชัดเจนและสุดท้าย หมอเส็ง ก็ยังมีสินค้าในกลุ่มของใช้ส่วนตัว ที่เน้นคุณภาพสูง และสูตรเข้ม- |
ข้นสามารถสาธิตให้เห็นผลได้ เหมือนยี่ห้อดัง ดังนั้นในส่วนของเรื่องสินค้า หมอเส็ง จึงถือว่าครบทุกปัจจัยและในอนาคตก็ยังมีแนวโน้มที่จะมีสิน |
ค้าใหม่ๆเข้ามาอีก |
แผน ในธุรกิจเครือข่าย แต่ละบริษัท ก็มีแผนที่แตกต่างกัน หลายยุคหลายสมัย โดยหลักสำคัญคือ ให้พิจารณา ในสว่นรายได้ของผู้จำ |
หน่ายรายใหม่ด้วยเพราะคนส่วนมากที่เลิกลาจากธุรกิจเครือข่ายสาเหตุหลักๆ คือทำแล้วไม่ได้เงิน เพราะฉะนั้นแผนที่ดีคือคนใหม่น่าจะได้เงิน |
ไม่น้อยจนเกินไป เพราะไม่งั้นเขาอาจเลิกลาก่อนที่จะได้สัมผัสรายได้มากๆก็ได้ และในปัจจุบันบริษัทที่เปิดใหม่มักจะเลือกใช้แผนที่ Matching |
คือการจ่ายรายได้ โดยคำนวณจากรายได้ที่เกิดขึ้นจริงจากผู้ที่เราแนะนำ ซึ่งแผนแบบเก่า แบบ Stair Step Break Away จะคำนวณจากยอดกลุ่ม |
ที่เราชวนมาโดยไม่ได้ดูว่าในกลุ่มใครจะมีรายได้เท่าไหร่ จะนับจากยอดที่เกิดขึ้นอย่างเดียว ทำให้จริงๆ เราอาจมีรายได้จากกลุ่มที่เราสร้าง แต่ |
ในกลุ่มทีมงานยังไม่มีใครมีรายได้มากตามเรา เพราะจะเน้นไปช่วยเหลือที่กลุ่ม หรือดูเป็นสายๆไป แต่ไม่ได้เน้นที่ตัวบุคคล เมื่อคนในกลุ่มทำไป |
สักระยะ ไม่เกิดรายได้ก็อาจกลับ |
หรือเลิกไป ทำให้เราก็ต้องหาคนมาเติมในกลุ่มนี้ เพื่อให้ยอดครบตามคุณสมบัติ ที่แต่ละบริษัทกำหนด ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ |
ผู้นำ แต่พอเจอผู้นำเมื่อผู้นำสามารถสร้างกลุ่มที่ใหญ่ได้จน Break away ไป เราก็ต้องมาพยายามสร้างกลุ่มใหม่อีกถ้าหากเราต้องการรายได้ที่ |
มากขึ้น และตำแหน่งที่สูงขึ้น โดยความสำเร็จของแต่ละสายไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เราจึงต้องดูแลทุกสายด้วยตัวเอง ถ้าสายไหนแข็งก็ดีไป แต่ |
สายไหนไม่แข็งขาหัก ก็ต้องมานั่งหาใหม่ หรือซ่อมสายอยู่เรื่อยไป ทำให้แผนปัจจุบันจะเน้นไปที่การใช้ระบบ Placement คือการต่อได้ไม่จำกัด |
คนที่เรา Sponsor ได้เราก็จะวางลงไปในทีมงานแต่ละสายทำให้เอื้อในการช่วยให้สำเร็จเป็นทีมงาน และดูแลได้ง่ายกว่าลักษณะแผนแบบต่อได้รอบตัว และเมื่อเราต้องการสร้างผู้นำคนใหม่ หรือสายใหม่ก็ต่อสายเดิม เป็นการทำให้สายเดิมมั่นคงขึ้น และเราก็มีรายได้เพิ่มขึ้นในการทำงาน |
งานเดียวกัน เมื่อประสบความสำเร็จโอกาสที่จะหยุดพักและสายยังมั่นคง ก็เป็นเรื่องที่จะเป็นไปได้มากกว่า เพราะแต่ละสายจะมีผู้นำซ้อนผู้นำ |
อยู่หลายคนช่วยกันทำงาน ไม่ใช่ความมั่นคงของแต่ละสายขึ้นอยู่กับแค่คนเดียว และสุดท้ายเรื่องการคุณสมบัติ หรือรักษายอด ถ้าธุรกิจไหนไม่มี |
ก็จะเป็นธุรกิจระยะสั้น คือไม่เน้นให้เครือข่ายบริดภคซํ้ารายได้จึงเกิดจากการที่มีคนสมัครใหม่เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ Work สำหรับผู้ที่ต้องการทำระ |
ยะยาว แต่ถ้าเกิดมีการรักษายอดที่มากเกินไปก็จะทำให้หลายๆคนเกิดปัญหาได้คือรายรับน้อยกว่ารายจ่าย ที่ต้องจ่ายไปทุกๆเดือน ดังนั้นตัวเลข |
ที่น่าจะเหมาะกับปัจจุบัน น่าจะอยู่ที่ประมาณ 500-1,000 ต่อเดือน ไม่สมควรมากเกินกว่านี้ในส่วนการรักษายอดสำหรับคนใหม่ Trend แผนใน |
ปัจจุบันก็จะพิจารราประมาณนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาจะพิจารณา จะมองในส่วนแผนอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะหลายๆคนอาจสับสน เมื่อเจอแผนการ |
ตลาดแบบ สองสายงานในทำนองนี้เหมือนกัน แต่บางทีเค้าอาจจะมีการจ่ายมากกว่า หรือน้อยกว่านั้น จะพิจารณาเฉพาะตรงนั้นอย่างเดียวคงไม่ |
ได้ ลองดูองค์ประกอบอื่นไม่ดีก็อยู่ได้ไม่นาน |
ในสว่นของผมธุรกิจ หมอเส็ง นั้นก็เป็นแบบ Dual Linear และอยู่ในระบบ Placemenr มี 2 สายงาน มีโบนัสบริหาร ลงทุนน้อยบริโภค |
ซํ้าในราคาที่ตํ่า ดังนั้นแผนของเราจึงอยู่ใน Trend ปัจจุบัน และที่สำคัญคนใหม่ๆที่เข้ามาก็มีรายได้ไม่น้อยจนเกินไปจนเกินไป บางคนได้ 1,000 |
-5000 บาท ในเดือนแรก บางคนอาจได้ถึง 5,000-10,000 บาทในเดือนแรกก็มี ทำให้นักธุรกิจรายใหม่เหล่านั้นก็มีกำลังใจที่จะทำต่อ แต่ปัจจุบัน |
ก็อาจมีบางแผนมีการจ่าย ทีมอ่อน+ทีมแข็งมากกว่า หรืออาจจ่ายจำชั้นมากกว่า ซึ่งก็แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าถามว่าแผนใครดีกว่ากันก็คงตอบไม่ |
ได้เพราะแผนเป็นเพียงตัวเลข แต่บริษัทจะกำหนดอย่างไรก็ได้ แต่เราต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นด้วย เพราะดูที่แผนอย่างเดียวไม่ได้ แต่ถ้า |
แผนบริาัทใดไม่ใช่เป็นลักษณะ Placement ก็จะค่อนข้างทำได้ยากในปัจจุบันและไม่ค่อยน่าสนใจ คือสรุป เราดูแผนที่เป็นลักษณะ Placement |
และ Matching ก่อนเป็นหลัก ถ้าใช่หลังจากนั้นค่อยเอาอย่างอื่นมาพิจารณาต่อว่าเหมาะสมหรือไม่ทั้งเรื่องสินค้าและอื่นๆ |
T ตัวที่ 2 คือเรื่อง Timing หมายถึง ช่วงจังหวะเวลา ที่เหมาะสมที่จะเข้ามาทำธุรกิจ เรื่องนี้แน่นอนครับถ้าเราไปถามบริษัทที่เปิดตัว |
มานานและขายเรื่องความมั่นคง เค้าจะไม่สามารถขายเรื่อง Timing ได้เเน่นอน และเค้าจะบอกว่าเรื่อง Timing ไม่เกี่ยว...ไม่มีผล มาก่อนมา |
หลังไม่เกี่ยว และธุรกิจก็ยังไม่อิ่มตัวความจริงเค้าก็พูดสว่นหนึ่งคือ มาก่อนมาหลังไม่เกี่ยวและธุรกิจก็ยังไม่อิ่มตัวจริงๆรวมไปถึงธุรกิจที่เปิดตัวมา |
แล้ว 10-20 ปีก้ยังไม่อิ่มตัว แต่ถ้าพูดถึงการเติบโตที่รวดเร็วและการก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงๆ เราก็ลองพิจารณาแบบตรงไปตรงมา โดยดูจากบริษัท |
ที่เปิดมานานเกิน 10 ปี ให้ดูที่คนประสบความสำเร็จระดับสูงๆของบริษัทนั้นว่าเค้าเขามาทำธุรกิจในช่วงไหนของการเปิดตัว ส่วนมากคือช่วง1-5 |
ปีแรก ที่สำเร็จ ระดับสูงจริงๆ อาจมีบางคนเข้ามาหลังช่วงนี้และก็สามารถประสบความสำเร็จได้แต่ก็ลองพิจารณาถึงจำนวนและความเป็นไปได้ว่า |
มีมากน้อยกี่คนและสิ่งสำคัญ คือ ให้ดูในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของนักธุรกิจในบริษัทนั้นว่าเป็นอย่างไร ดูว่ามีขนาดขององค์กร จำนวน |
ของผุ้นำและรายได้ของตัวเองที่เพิ่มขึ้นมากน้อยขนาดไหนหรือเท่าเดิม ถ้าเท่าเดิม แล้วผู้นำเปลี่ยนหน้าไปเป็นคนใหม่แทนคนเก่าที่หายไป ก็ |
แสดงว่าเป็นการทำซ่อมของเดิม ผ่านมาลายปีมีแต่คนหน้าเดิมๆ ก็แสดงว่าผู้นำเราไม่ได้สำเร็จเพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งการที่นักธุรกิจคนใดทำธุรกิจกับ |
บริษัทที่เปิดมานานแล้วและไม่สามารถที่จะขยายองค์กรได้รวดเร็ว ยิ่งนานไปนานไปตัวเค้าเองก็ยิ่งหมดควมาเชื่อลงไป คนรอบข้างหลายคนของ |
ก็สัมผัสได้ว่า เค้าไม่ไปไหนมาไหนในธุรกิจ ไม่เจอกันปีสองปี ถามอีกทีรายได้ก็ยังเท่าเดิม และก็บอกปีหน้านี่แหละ ไม่พลาดแน่ และถ้ายังไม่ถึง |
เป้าหมายก็มานั่งโทษว่าตัวเองทำงานไม่หนักบ้าง ไม่ตัดสินใจบ้าง พอผ่านไปหลายปีก็มีบางคนท้อและเิกไปหลายคน ซึ่งน่าเสียดายที่จริงๆ เค้า |
อุตสาห์เข้าใจในธุรกิจเครือข่ายแล้ว แต่ยึดติดกับบริษัทมากเกิน จนลืมสิ่งรอบข้าง จริงๆแล้วเหตุผลที่เขาไม่เติบโตก็น่าจะมีหลายๆปัจจัย และไม่ |
ใช่บริษัทนั่นไม่ดีหรือไม่ใช่เพราะธุรกิจเครือข่ายอิ่มตัว แต่ส่วนนึงสำหรับบริษัทที่เปิดมานานหลายปี ก็จะเกิดแรงต้านจากคนรอบข้างที่มีต่อบริษัท |
นั่นเยอะ และอีกเรื่องคือมีการแข่งขันกันเองในธุรกิจ(หมายถึง ไปทางไหนก็มีแต่คนสมัครสายงานอื่นแล้ว เคยทำ เคยเลิกแล้ว) โดยมีแรงต้าน |
มากก็หมายถึง มีคนภายนอกไม่ชอบธุรกิจนี้และได้ยินเรื่องราวเชิงลบกับบริษัทนี้มาเยอะ ทำให้เกิดการ Sponsor ที่ยากนั่นเอง กว่าจะ Sponsor |
ได้ ก็ต้องพา U/l หรือ ผู้นำ ไปช่วยเพราะต้องตอบข้อโต้แย้งกันพอสมควรกว่าจะสมัคร รวมไปถึงการที่ไปเจอคนที่เป็นศิษย์เก่าของ ธุรกิจนั้น |
คือ เคยทำ เคยเลิก เคยถูกชวน เคยมีญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทำแล้ว เลิกแล้ว มาพูดเชิงลบเกี่ยวกับบริษัทนี้ ก็จำทำให้ไม่ง่ายในการที่ Sponsor |
เค้าเข้ามาทำอีกครั้งนึงแต่ก็อาจมีบางคน Sponsor ได้ แต่ผมยืนยันเลยว่าไม่ง่ายแน่นอนสำหรับคนกลุ่มนี้ ถ้าไม่เกี่ยวพอ ไม่ใช่แค่ชวนไม่ได้นะ |
ครับ คนกลุ่มนี้แหละที่จะคอยบอกให้เราด้วยซํ้าไปจากประสบการณ์อันขมขื่นของเขาที่เคยทำมา ยิ่งถ้าเราเป็นคนใหม่ได้ฟังแล้วก็คงท้อไปตามๆ |
กัน ดังนั้นถ้าธุรกิจใด Sponsor ยาก การที่องค์กรจะเติบโตรวดเร็วและมั่นคงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย บริษัทประเภทนี้ส่วนใหญ่ที่เติบโต เพราะเกิดจากผู้ |
นำสามารถสร้างยอกขายได้มากนั่นเอง ซึ่งก็ตามมาด้วยความมั่นคงอีกอยู่ดี เพราะมีแต่ยอดแต่ไม่มีองค์กรยอมรับ เพราะ Sponsor ยากเกินก็กลับ |
มาเรื่องเดิมอีก ดังนั้นถ้าต้องการทำรายได้ทีรวดเร็วและมั่นคงนั้น... ถ้าเลือกบริษัทที่เปิดมานานก็อาจจะทำได้ยากและช้ากว่าเหตุผลที่กล่าวมา |
เพราะความจริงตัวบริษัทต่างหากที่มั่นคง แต่ตัวเราอาจจะไม่มั่นคงก็ได้ ถ้าเราไม่มีองค์กรที่มั่นคง ถึงแม้เราจะทำบริษัทที่มั่นคง ถ้าจะ |
ให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น และเป็นกลางมากขึ้น ขอยกประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจอื่นในส่วนของ Timing ที่ไม่ใช่ขายตรง ซักตัวอย่าง อย่าง |
เช่น ธุรกิจชาเขียว เมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้วเราลองนึกดูว่ามีชาเขียวกี่ยี่ห้อ ที่ดังๆ ก็ต้องเป็น ชาเขียวโออิชิ รํ่ารวยมากๆจากธุรกิจชาเขียว เพราะ |
สมัยนั้นถือว่า Timing ของธุรกิจชาเขียวดีมาก หลังจากนั้น 2-3 ปี ก็จะมีหลายบริษัทเปิดเพิ่มมากขึ้นก็สามารถรํ่ารวยกันทั่วหน้า แบ่ง Market |
Share กันไป แต่ถ้าปัจจุบันใครเปิดบริษัทชาเขียวใหม่ ถ้าไม่มีการต่อยอดสินค้าที่ดี หรือมีความแปลกใหม่ ก็คงไม่สามารถที่จะมีผลกำไรที่ดีได้ |
อาจเจ้งไปก็ได้ เพราะ Timing ที่หมดไปแล้ว และการแข่งขันในกาตลาดก็สูงด้วยอย่างนี้ก็คงอาจเทียบเคียงกับ เรื่อง Timing ของบริษัทที่เปิด |
มานานแล้วก็ได้ว่าช่วง Timing ที่หมดไปแล้วถ้าจะ ทำก็ต้องเป็นมือาชีพจริง เพราะปัจจุบันก็มีคู่แข่งร่วมบริษัทกันเยอะนั่นเอง ไปทางไหนก็มีแต่ |
คนรู้้จัก ไม่อยากฟัง เคยทำแล้ว เลิกแล้วอีก ข้อโต้แย้งเยอะไปหมด |
ที่นี้มาดูในส่วนของ Timing ของบริษัท หมอเส็ง บ้างว่าเป็นอย่างไร บริษัทเราเปิดมา 14 ปีเศษแล้ว ถือว่าไม่นานไม่ใหม่เกินไป ผ่านปีที่1 |
ด้วยยอดขาย ประมาณ 100 ล้านบาท และมีนักธุรกิจที่มีรายได้เกิน 6 หลัก เกือบ 200 คน มีรายได้เกิน 50,000 ก็ประมาณ 1,000 คน และมีคน |
สามารถสร้างรายได้เกือบ 7 หลักอยู่ 5 คน ปีที่ 12 มียอดธุรกิจ 3 ,000 กว่าล้านบาท ถือว่าเป็นธุรกิจที่โตเร็วมากๆ ในธุรกิจเครือข่ายในประเทศ |
ไทย มีผู้ซึ่งมีรายได้หลักล้าน 10 คน รายได้หลักแสน มากกว่า 500 คน หลายคนเป็นคนที่ไม่ค่อยทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อน ซึ่งถือว่าตอนนี้ |
หมอเส็ง อยู่ในช่วงนี้ Timing กำลังดีมาก ที่จะเติบโตไปพร้มกับบริษัท เพราะว่าปีที่ 15 บริษัทตั้งเป้าหมายที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งหมายความ |
ว่า หมอเส็ง จะทยานสู่ธุรกิจเครือข่ายที่ติดอันดับต้นๆของประเทศไทย แต่ถ้ามีหลายคนค้านว่าบริษัทเพิ่งเปิดมาได้ไม่นานไม่น่าจะมั่นคงก็ให้นำ |
ข้อมูลในข้อที่ 9 ไปตอบ และจริงๆอยากให้เข้าใจอีกครั้งในเรื่องของคำว่า Timing ไม่ใช่หมายความว่าเข้ามาก่อนแล้วจะได้เปรียบแต่หมายถึง |
เรื่องของแรงต้านในส่วนของชื่อของธุรกิจ รวมไปถึงการแข่งขันกันเองของคนในบริษัท โอกาสที่จะไป Sponsor ใคร แล้วเขาบอกว่า อ้อ |
หมอเส็ง เคนทำแล้วเลิกแล้ว เคยสมัคร เคยใช้ ข้างบ้าน ญาตพี่น้องเคยทำเคยเลิก ก็จะเจอค่อนข้างยาก ส่วนใหย่หลายคนพอได้ยินก็จะถามว่า |
คืออะรไไม่รู้จัก อาจมีคนบางคนคิดว่าคือ U-Star ก็ให้บอกว่าไม่ใช่ไม่เกี่ยวกันเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น โดยธรรมชาติของผู้คนชอบฟังเรื่อง |
ราวหรือสิ่งใหม่ๆ เมื่อเขาไม่เคยได้ยินเรื่องของ หมอเส็ง มาก่อนก็จะถามว่ามันคือ อะไร เป็นอย่างไร ทำให้เราก็สามารถที่จะทำการคุยต่อได้ง่าย |
ขึ้น ยิ่งมาเจอแผนที่ทำไม่ยากจนเกินไป กับสินค้าที่ดีก็จะสามารถที่จะ Sponsor ได้แม้แต่คนใหม่ๆที่พึ่งทำธุรกิจได้ไม่นานก็สามารถ Sponsor |
ได้ด้วยตัวเองได้ ดังนั้นเมื่อเกิดการ Sponsor ที่รวดเร็ว ก็จะเกิดซื้อซํ้าตามมาทำให้มีความมั่นคงตามมาด้วยโดยปัจจุบันเรามีมนุษย์เงินล้าน 5 |
ระหัสซึ่งสามารถสร้างองค์กรกว่า 100,000 คน โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 ปี ซึ่งบางท่านตามมาด้วยผู้นำที่มีรายได้หลักล้านเช่นเดียวกัน และหลัก |
แสนนับไม่ถ้วน ทำให้มีความมั่นคงมากๆ ซึ่งถ้าถามว่าเค้าไปทำบริษัทที่เปิดมานานแล้ว เชื่อได้เลยว่าไม่สามารถที่จะสร้างองค์กรขนาดนี้ และมีผู้ |
นำที่สำเร็จตามมากขนาดนี้ ดังนั้น เรื่องTiming ที่ดีก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องนึง แต่ก็เช่นเดียวกับเรื่องแผน เวลาจะพิจารณาก็คงดูเรื่องนี้อย่าง |
เดียวไม่ได้ว่าบริษัทไหน Timing ดีก็ทำหมด ก็ต้องดูองค์ประกอบอื่นประกอบกันด้วยเหมือนกัน |
T ตัวสุดท้าย คือเรื่อง Team ตรงนี้บางคนอาจคิดว่าไม่สำคัญเพราะจริงๆเราจะประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายกว่า 90 %อยู่ที่เราเอง |
ก็จริงครับ แต่ถ้าจะให้เต็ม 100 % เราก็ควรจะมีทีมงานที่ดีคอย Support ด้วยเหมือนกัน เพราะอย่างตอนเริ่มต้นเราก้ต้องมีความรู้และรูปแบบที่ |
ถูกต้องในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้นการอยู่ในทีมงานที่มีความพร้อม ทั้งในเรื่องการช่วยเหลือ ในการทำ Case การมีที่ประชุมรองรับ และการสามา- |
รถ ที่จะปรึกษาปัยหาในการดำเนินธุรกิจ รวมไปถึงการปลูกฝั่งแนวคิดที่ถูกต้องด้วย เพราะต่อให้บริษัทนั้นมีแผนที่ดี สินค้าเยี่ยม และมี Timing |
ที่ดี แต่ถ้าเราไม่มีแนวความคิดที่ถูกในการสร้างธุรกิจเครือข่าย ถึงแม้เราจะสำเร็จความสำเร็จนั้นก็อาจเป็นความสำเร็จที่ไม่ยั่งยืนก็ได้ Team |
ที่ดีในที่นี้คือ |
1.มีผู้นำที่เป็นมืออาชีพในการดำเนินธุรกิจแบบเครือข่ายที่ถูกต้อง เป็นคนที่มีนิสัยดี มีความจริงใจ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีภาพความสำเร็จ |
ให้ทีมงานเกิดแรงบันดาลใจและความเชื่อถือได้ แต่ที่สำคัญที่สุดเราสามารถติดต่อพูดคุยกันได้ |
2.มีที่ประชุมรองรับการเจริญเตฺบโต (CENTER) |
3.มีคนประสบความสำเร็จให้เห็นจริงเกิดขึ้นเรื่อยๆ จากการทำตามระบบหรือการสอนในที่ประชุม |
4.มีการช่วยเหลือกัน ต่างสายงานสามารถทำการ Cross Motivation ได้ดังนั้นถ้าเราได้อยู่ในทีมลักษณะนี้ โอกาสประสบความสำเร็จ ก็มาก |
กว่าการทำเองคนเดียว |
ในส่วนของทีมงานของเรา ใน หมอเส็ง เราเองก็เป็นทีมงานของคุณ...(ยกตัวอย่าง) ซึ่งประสบความสำเร็จให้เห็น ให้เกิดแรงบันดาลใจและ |
ความเชื่อ ที่สำคัญเค้ายังเป็นคนที่จริงใจมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักและหากพวกเรายังสามารถที่จะติดต่อพูดคุย |
ขอความช่วยเหลือได้อีกด้วย ตรงนี้ถือเป็นส่วนที่ดี เพราะถ้าเกิดเรามีผู้นำที่ประสบความสำเร็จ แต่อยู่ห่างเกินไปในลำดับสายงานและเขาไม่ |
สามารถที่จะลงมาช่วยเหลือได้ก็จะได้ประโชยน์แค่ในเรื่องของการเป็นแรงบันดาลใจเท่านั้น ในส่วนต่อมาทีมงานเราที่มีการประชุมรองรับการเติบ |
โตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและมีคนที่ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงการปลูกฝั่งแนวคิดที่ดีในการสร้างธุรกิจ ทั้งไม่ขายลดราคา ไม่แย่ง |
สายงาน ไม่ให้กักตุนสินค้าเพื่อ ขึ้นตำแหน่งและให้มีนิสัยที่ดีในการช่วยเหลือกัน ดังนั้นทีมงานเราถือว่ามีความพร้อม และตั้งใจในการที่จะดำเนิน |
ธุรกิจและช่วยเหลือทีมงานให้ประสบความสำเร็จจริงๆ |
ทั้งหมดก็เป็นเทคนิคและแนวความคิดในการตอบข้อโต้แย้ง อยากให้เพื่อนๆทั้งผู้นำและคนใหม่ ได้มีข้อมูลเหล่านี้และสามารถนำไปประ- |
ยุกต์ใช้ได้ สิ่งสำคัญคือเราสามารถตอบข้อโต้แย้งที่มีอยู่ในใจเรา และนำไปถ่ายทอดต่อในองค์กรธุรกิจของเราได้ และสุดท้ายขอให้เพื่อนๆ |
ประสบความสำเร็จในธุรกิจ หมอเส็ง ครับ |
-
-
ราคาปกติ 4,900 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 4,100 -
ราคาปกติ 2,850 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,500 -
ราคาปกติ 4,300 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 3,800 -
ราคาปกติ 3,700 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 3,200 -
ราคาปกติ 3,550 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 3,250 -
ราคาปกติ 2,850 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,500 -
ราคาปกติ 2,900 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,250 -
ราคาปกติ 2,450 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,200 -
ราคาปกติ 2,500 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,250 -
ราคาปกติ 940 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 800 -
ราคาปกติ 2,900 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,600 -
ราคาปกติ 2,400 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,150 -
ราคาปกติ 2,300 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,050 -
ราคาปกติ 840 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 680 -
ราคาปกติ 2,550 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 2,250 -
ราคาปกติ 1,430 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 1,200 -
ราคาปกติ 1,060 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 780 -
ราคาปกติ 1,550 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 1,250 -
ราคาปกติ 790 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 660 -
ราคาปกติ 790 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 660 -
ราคาปกติ 1,420 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 1,200 -
ราคาปกติ 760 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 660 -
ราคาปกติ 760 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 650 -
ราคาปกติ 720 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 620 -
ราคาปกติ 800 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 660 -
ราคาปกติ 1,100 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 950 -
ราคาปกติ 800 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 660 -
ราคาปกติ 640 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 580 -
ราคาปกติ 150 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 150 -
ราคาปกติ 170 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 170 -
ราคาปกติ 450 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 300 -
ราคาปกติ 1,800 ราคาขาย/ราคาสมาชิก 1,450
-