การตรวจโรคแบบ "แมะ"
|
|
ในทางการแพทย์แผนจีนมีการตรวจโรคที่เรียกกันว่า "การแมะ"
|
|
คนที่ไม่เคยศึกษาข้อมูล จากที่ใดมาก่อนอาจจะงุนงงว่าการแมะ คืออะไร.?โดยความหมายของคำว่า "แมะ" ก็คือการตรวจร่างกายโดยอาศัยการ |
|
จับชีพจรและสังเกตุความเร็วช้า หนัก เบา เป็นต้น |
|
ถ้าจะว่าไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่น่าศึกษาเพราะหมอแมะเวลาทำการตรวจโรค แค่เอามือจับชีพจรของเราที่ข้อมือหรือว่าหลังมือ ซึ่งการจับแต่ละที |
|
ใช้เวลาแค่นิดเดียว แต่ว่าสามารถที่จะบอกความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเราได้อย่างแม่นยำ ดูๆไปแล้วเหมือนเรื่องโกหกแต่ถ้าเราเคย
|
|
ดูหนังจีนจะนึกภาพออกอย่างชัดเจน เวลาที่หมอหลวงทำการตรวจร่างกายพระมเหสีแล้วบอกว่าทรงตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้วพระเจ้าค่ะก็คงพอ |
|
นึกภาพหมอแมะออกกัน |
|
ตามข้อเท็จจริงแล้ว การแมะหรือหมอแมะนั้นสามารถตรวจร่างกายด้วยการจับชีพจรได้จริง ไม่ใช่เรื่องโกหกแต่อย่างใดถ้ามองกันให้ |
|
ให้ลึกลงไปจะพบว่าศาสตร์ของการแมะนั้นเป็นความรู้ของจีนที่สั่งสมกันมาหลายพันปี เขียนเป็นตำราการแมะมากมายเพื่อใช้เรียนหรือสอนกัน |
|
ในที่ต่างๆ อย่างเป็นระบบ เพราะฉะนั้นการแมะหรือหมอแมะเป็นอะไรที่มีมานานหลานพันปีแล้ว |
|
เหตุผลที่คนส่วนใหญ่นิยม ไปหาหมอแมะกันคืออยากตั้งท้องแต่ไม่ตั้งท้องสักที เพราะการมีทายาทสืบสกุลเป็นเรื่องที่หลายคู่มีความ |
|
ต้องการเป็นอย่างมาก เมื่อวิธีการทางธรรมชาติจนแล้วจนรอดก็ยังไม่ท้อง อันดับแรกส่วนใหญ่ก็ต้องไปหาหมอแผนปัจจุบันก่อนบางหมอก็แนะ |
|
นำให้นับวันตกไข่แล้วมีเพศสัมพันธ์จะทำให้ลูกติดได้ง่าย บ้างก็แนะนำให้ทำกิฟท์ บ้างก็ให้ยาบำรุงร่างกายมารับประทานถ้าคู่ไหนโชคดีรักษา |
|
ได้ตรงจุด ก็ท้องป่องมีลูกไปตามระเบียบ แต่ทั้งนี้ก็ใช่ว่าจะสำเร็จทุกราย
ดังนั้นการแพทย์ทางเลือก โดยการแมะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ซึ่งหมอแมะจะต้องตรวจร่างกายด้วยการแมะเสียก่อนต่อจากนั้นจะให้ยา
|
|
บำรุงร่างกาย ยาบำรุงน้ำเชื้อหรือยาบำรุงมดลูก บางรายทานติดต่อกัน 2 ถึง 3 เดือนก็สมใจ แต่บางรายอาจจจะต้องกินกัน 6 เดือนถึงได้ผลก็มี |
|
สำหรับผู้ป่วย ที่เป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หายสักที ซึ่งเมื่อไปหาหมอแผนปัจจุบันแล้วไม่ดีขึ้นหรืออาจจะดีขึ้นนิดหน่อยแต่ไม่หายขาดสักที |
|
อย่างเช่น ภูมิแพ้ ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ส่วนใหญ่หมอแมะที่มีความชำนาญเรื่องร่างกายคนค่อนข้างมากจะช่วยได้ |
|
|
|
หมอเส็ง เป็นหมอแมะที่ได้รับขนานนามว่า "หมอเทวดา" ซึงในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เป็นหมอแมะที่มีประสบการณ์มากมาย |
|
ในการรักษาคนไข้โรคต่างๆ สมัยก่อนคนที่จะเข้าพบหมอเส็งได้ต้องมีการจองคิว และเสียค่าแมะกันหลายพันบาททีเดียว |
|
แต่ปัจจุบัน คุณหมอเส็งตรวจแมะให้ฟรี โดยคุณหมอเส็งจะมีคิวในการตรวจคือวันพุธและวันอาทิตย์ ที่สำนักงานใหญ่หมอเส็ง |
|
ที่มาของฉายา "หมอเทวดา" มีเรื่องเล่าว่ามีคนไข้ซึ่งไม่ได้เป็นคนป่วยแต่อย่างใดไปทดสอบหรือเรียกว่าลองของกับคุณหมอเส็งด้วยตนเอง |
|
โดยมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนจำนวนหนึ่ง พอมาถึงก็รอรับบัตรคิวเพื่อรอแมะกับหมอเส็ง โดยปกติแล้วการที่เราจะเข้าไปแมะกับคุณหมอเส็งได้ต้อง |
|
ทำการเขียนรายละเอียดที่เกี่ยวกับอาการไม่สบายของตนเอง เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้หมอเส็งได้ตรวจแมะได้ง่ายยิ่งขึ้น |
|
พอรู้ดังนั้น คุณคนนี้ก็เขียนอาการป่วยเบื้องต้นลงในบัตรคิวว่า ภูมิแพ้ จากนั้นพอถึงคิวแมะของเขาก็เข้าพบหมอเส็ง เพื่อทำแมะแล้วบอกกับ |
|
หมอเส็งว่า ตนเองเป็นภูมิแพ้ ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยเป็นภูมิแพ้และร่างกายยังแข็งแรงดีอีกด้วย พอหมอเส็งแมะก็ทักขึ้นมาเลยว่า คุณไม่ได้เป็นภูมิแพ้ |
|
หมอที่ไหนบอกว่าคุณเป็นภูมิแพ้ เอาละที่นี้รู้สึกว่าจะรู้แล้วว่าเจอหมอเทวดาเข้าให้แล้ว และเป็นที่มาของฉายา "หมอเทวดา" ในปัจจุบัน |
|